Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1007
นักปรุงยาทุกคนต่างมั่งคั่ง เพียงแค่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้น
ในเวลาเพียงสี่วันหลิงฮันก็หลอมวัตถุดิบราคากว่าสองแสนผลึกก่อเกิดจนหมด
เขาใช้เงินไปกว่าล้านผลึกก่อเกิดเพื่อซื้อวัตถุดิบสมุนไพร ในขณะที่เม็ดยาปราณสวรรค์ใช้สมุนไพรไปประมาณหนึ่งแสนผลึกก่อเกิด ส่วนที่เหลือเขาจะใช้ไปกับเม็ดยาไข่มุกนภาและเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ในระดับที่สูงขึ้นเช่นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสามหรือสี่
“ทุกคนมามารวมตัวกันด้านหน้าดาดฟ้าเรือ”
เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วท้องเรือ มันคือเสียงของหยางเทียนเฉิง
“เกิดอะไรขึ้น?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
“ข้าก็ไม่รู้ ยังไงก็ออกไปดูกันก่อน” หลิงฮันส่ายหัว
ทั้งสองเดินออกจากห้องพักในขณะที่เจียงอันหยุนก็เดินออกมาจากห้องข้างๆ ใบหน้าของเขามืดมนและมองมายังหลิงฮันด้วยความโหดเหี้ยม ในหัวของเขาคู่รักที่อยู่ห้องเดียวกันสองคนจะมีอะไรให้ทำนอกจากเรื่องบนเตียง
สวนบุรุษเช่นเขาที่ต้องอยู่ในห้องคนเดียวนึ่? อ้ากกก
พวกเขาเดินมายังหัวเรือและพบคนหลายคนที่มาถึงก่อนแล้ว
“พวกเราใกล้จะเข้าสู่เขตหมอกดำแล้ว” หยางเทียนเฉิงกล่าวและชี้ไปด้านหน้า “ในเขตหมอกดำ การรับรู้และการมองเห็นของพวกเราจะได้รับผลกระทบ พวกเราจะมองเห็นรอบด้านได้เพียงระยะครึ่งก้าวเท่านั้น”
เขาหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนที่เรียกทุกคนมาอยู่รวมกันเพราะข้าไม่ต้องการให้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น”
อย่างที่ว่าเมื่อเข้าไปยังเขตหมอกดำแล้วการรับรู้ของเขาจะไม่ครอบคลุมไปทั่วทั้งเรือและอะไรก็ตามสามารถเกิดขึ้นเหนือการควบคุมของเขา ในกรณีที่มีการตายเกิดขึ้นเขาจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ
ดังนั้นที่เขาเรียกทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อให้ทุกคนอยู่ในสายตาของเขาและจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาใดเกิดขึ้น
หลิงฮันมองไปยังด้านหน้าและพบเห็นเขตหมอกดำที่อยู่ไกลไม่เกินสามไมล์ตรงหน้า ขอบเขตของหมอกนั้นกว้างจนไม่สามารถมองเห็นได้รอบ
“นี่คือหนึ่งในความพิเศษของมหาสมุทรดารา มหาสมุทรแห่งนี้มักจะสร้างหมอกดำเช่นนี้ขึ้นมาบ่อยๆ ส่วนที่ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นยังไม่มีผู้ใดรู้” สุ่ยเยี่ยนยวี่กระซิบข้างหูเขา
“ข้าเริ่มสนใจแล้วอยากจะไปสำรวจในมหาสมุทรเสียแล้ว” หลิงฮันยิ้มก่อนจะส่ายหัว “ทำไมเจ้าพวกโจรสลัดถึงได้ชักช้าอย่างนี้ นี่ก็เป็นเวลาหลายวันแล้วพวกมันกลับไม่โผล่หัวมา”
สุ่ยเยี่ยนยวี่ขมวดคิ้วและมีท่าทีไม่พอใจเช่นกัน
คนอื่นเกรงกลัวว่าจะพบโจรสลัด แต่พวกเขาทั้งสองคนนั้นต้องการจะพบกับโจรสลัด
“เรื่องที่ข้าจะรบกวนทุกคนก็คือเมื่ออยู่ในเขตหมอกดำ พวกเจ้าต้องยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมห้ามขยับ ไม่เช่นนั้น…” หยางเทียนเฉิงกำหมัดและมองด้วยสายตาข่มขู่
ไม่มีใครกล่าวอะไร แต่ส่ายตาทุกคู่กลับวอกแวก เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนมีแผนการบางอย่าง
“ระวังตัวด้วย!” สุ่ยเยี่ยนยวี่เป็นกังวลเล็กน้อย ที่นี่ไม่ได้มีเพียงจอมยุทธที่มีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสูง แต่ยังมีระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดด้วย
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่ต้องห่วง พวกเราแค่เข้าไปในหอคอยทมิฬแล้วปล่อยคนพวกนี้ไว้ด้านนอก”
ตัวเรือเข้าใกล้เขตหมอกดำมากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศโดยรอบๆเรือเปลี่ยนไปเป็นกดดันในทันที
“รอให้เข้าไปในหมอกก่อน แล้วจงสังหารเจ้าหนูนั่นเสีย!” เจียงอันหยุนกล่าวกับคนของเขา
“แต่นายน้อย หยางเทียนเฉิงยังอยู่ใกล้ๆนี้” หนึ่งในคนของเขากล่าวด้วยเสียงเบา
“เหอะ แล้วจะอย่างไร? ในหมอกที่สัมผัสสวรรค์และสายตาถูกจำกัด เจ้าแค่ลงมือให้ไวมากพอก็ไม่มีใครรู้ตัว” เจียงอันหยุนกล่าว “แต่ห้ามทำให้สตรีผู้นั้นบาดเจ็บเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะโยนเจ้าลงมหาสมุทร!”
“ขอรับนายน้อย” บนเรือมีทั้งหมดแปดคนที่เป็นคนของกลุ่มห้าทมิฬ
ในขณะเดียวกันจั่วเซียวกับฟานหยงก็กระซิบกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี และในด้านตระกูลหลัวเองก็จ้องมองมายังหลิงฮันด้วยความอาฆาต
เหลี่ยวหยิงและองครักษ์สาวงามทั้งสี่เองก็มีสีหน้าเย็นชาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ชายชราวัยกลางคนในชุดคลุมเทาจ้องมองด้วยสายตาที่ส่องประกาย
ชายหนุ่มที่ถือดาบ ชายหนุ่มชุดสกปรกและสตรีงดงามชุดขาวเขยิบไปยืนด้านข้างหยางเทียนเฉิง ดูเหมือนพวกเขาจะดูออกว่ากำลังจะมีคลื่นลูกปะทะลูกใหญ่เกิดขึ้น พวกเขาจึงแสดงตนว่าไม่ต้องการมีส่วนร่วม
ด้วยบรรยากาศเช่นนี้ เรือก็ค่อยๆเข้าไปยังหมอกอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเองพวกเขาก็รู้สึกทันทีว่าการมองเห็นเปลี่ยนไป แม้จะเปิดตาอยู่แต่แม้แต่ภาพเบื้องหน้าก็ไม่สามารถมองเห็นได้ มีเพียงมือของตนเองเท่านั้นที่มองเห็นได้อย่างเลือนราง
สัมผัสสวรรค์ยิ่งแย่ไปกว่านั้น มันไม่สามารถใช้งานได้อย่างสิ้นเชิง ต่อให้ปล่อยสัมผัสสวรรค์ออกมาจากร่าง สัมผัสสวรรค์ก็ดูราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างดูดกลืนเข้าไป
โชคดีที่การได้ยินยังคงอยู่ ไม่เช่นนั้นหากต้องเสียสัมผัสทั้งสามอย่างการมอง การได้ยิน การรับรู้ไป ผู้คนหลายคนคงจะกลายเป็นบ้าเป็นแน่
บนเรือมีแต่ความเงียบสงัด
แต่นั่นก็เป็นเพียงชั่วครู่ ‘ตูม ตูม ตูม’ เสียงปะทะเกิดขึ้นในทันที พลังต่อสู้ที่รุนแรงไม่ได้ทำให้หมอกสลายหายไป และโชคดีที่เรือลำนี้ถูกสร้างจากวัสดุทนทานที่ใช้ต้านแรงโน้มถ่วงมันจึงแข็งแรงมาก อย่างน้อยด้วยพลังของจอมยุทธระดับภูผาวารีก็ยากที่จะทำให้เรือลำนี้พัง
“หยุด! หยุด!” หยางเทียนเฉิงคำรามต่อเนื่อง เขาพุ่งเข้าไปยังกลุ่มที่ปะทะกัน ไม่ว่าเขาพบเจอใครเขาก็จะคว้าตัวเอาไว้แหละเหวี่ยงไปทางเรือหรือไม่ก็ห้องพักเรือ
ลูกเรือเองก็มาช่วยกันหยุดการปะทะเช่นกัน แต่นั่นก็มีแต่จะทำให้การปะทะอลหม่านกว่าเดิม
ภายในหมอก ไม่มีใครมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน พวกเขาเคลื่อนไหวตามความรู้สึกเท่านั้น
หลังจากเวลาผ่านไปพอสมควร แสงของตะวันก็สาดส่องเข้ามาอีกครั้ง หมอกดำค่อยๆเริ่มสลายหายไป
การปะทะหยุดทันที เมื่อท้องฟ้าปรากฏอีกครั้งทุกคนก็ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของตนเองราวกับว่าไม่มีใครเลยที่ลงมือ
แต่ถ้ามองดีๆจะพบว่าใบหน้าของใครบางคนนั้นถูกชกจนขอบตาเป็นสีดำ บางคนมีทรงผมกระเซอะกระเซิง บางชุดถูกฉีกขาด
“นะ นายน้อย!” เสียงอุทานดังขึ้น ทุกคนหันไปและพบจับร่างของเจียงอันหยุนนอนนิ่งอยู่ ที่ตำแหน่งหน้าอกของเขามีหลุมโลหิตปรากฏเนื่องจากถูกแทงหัวใจจนไร้สัญญาณชีวิต
ใบหน้าของเขาแสดงไว้ถึงความตกตะลึงที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะถูกลอบโจมตีจนต้องทิ้งชีวิต
“เจ้า! เจ้าต้องเป็นคนทำแน่ๆ!” ชายชราของกลุ่มห้าทมิฬชี้ไปยังหลิงฮัน ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความอาฆาตแค้น