Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1098
“นี่มัน!” ผู้คนที่ยืนดูตกตะลึง
“ทั้งที่ยังไปได้ไม่ถึงไหน พลังของหุ่นเชิดก็เพิ่มขึ้นแล้ว แล้วพวกเขาจะผ่านไปได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว หากไปได้ไกลกว่านี้มันก็อาจจะแข็งแกร่งขึ้นอีก”
“แล้วใครจะผ่านไปได้?”
ทุกคนพากันส่ายหัวและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านการทดสอบ
ทั้งสี่กลุ่มยังคงเดินหน้าต่อไป แต่จะเห็นได้ว่าเดิมทีคนกลุ่มที่สี่นั้นมีจำนวนมากที่สุด หลังจากที่หุ่นเชิดแข็งแกร่งขึ้นจำนวนของคนที่อยู่กลุ่มสี่ก็ลดลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นกลุ่มที่มีคนน้อยที่สุดแทน น้อยกว่ากลุ่มที่หนึ่งที่มีสี่คนซะอีก
“อะไรกัน!”
ทุกคนแปลกใจ เมื่อจำนวนคนลดลง พวกเขาก็จับตาดูคนอื่นได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้นและหลิงฮันก็กลายเป็นสะดุดตา
“มันน่าทึ่งมาก เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้นเท่านั้น!”
“ใช่แล้ว มันเห็นได้ชัดว่าภูผาวารีสายที่สามยังไม่ก่อตัว นี่หมายความว่าเขายังไม่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลาย”
“แล้วเขาไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?”
“นี่เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลมาก เขาเป็นสัตว์ประหลาดงั้นรึ?”
“มันอาจเป็นเพราะสมบัติบางอย่างก็เป็นได้ ทำให้เขาได้รับการป้องกันและไม่ได้รับบาดเจ็บ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นดังกล่าว หากไม่ได้เป็นเพราะสมบัติบางอย่าง แล้วมันจะเป็นอะไรได้?
แต่พวกเขาไม่ทราบว่าหลิงฮันฝึกฝนบ่มเพาะกายา ทำให้กายหยาบของเขาแข็งแกร่ง และรูปปั้นหินในตอนนี้ยังไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับเขาได้
ทุกครั้งที่รูปปั้นหินแข็งแกร่งขึ้นจะมีใครบางคนถูกกำจัด ในตอนแรกมีผู้คนหลายพันคนเข้าสู่ค่ายอาคมรูปปั้นหิน แต่ตอนนี้จำนวนลดลงเป็นหลักร้อย คนที่ถูกกำจัดออกไปส่วนใหญ่นั้นมาจากคนกลุ่มที่สี่ บางคนหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย แต่ก็มีคนไม่กี่คนที่ถูกรูปปั้นหินฆ่าตาย
ในปัจจุบันกลุ่มสองและกลุ่มสามมีจำนวนคนมากที่สุด จำนวนคนของกลุ่มสองและกลุ่มสามมีมากกว่าหนึ่งร้อยคน ส่วนจำนวนคนของกลุ่มหนึ่งและกลุ่มสี่เป็นเลขหลักเดียว
โลหิตของคนหนุ่มสาวยังคงเดือดพล่าน โดยเฉพาะอัจฉริยะที่ภาคภูมิใจในตัวเอง ในเมื่อมันเป็นการทดสอบจะต้องมีใครบางคนที่สามารถผ่านไปได้ แล้วทำไมข้าถึงจะผ่านไปไม่ได้เหมือนกับคนอื่น?
บางครั้งการล้มเหลวก็เป็นบทเรียนที่ดี และช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของจอมยุทธ แต่บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะบางคนจะไม่ยอมแพ้และอาจมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ตลอดไป
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กลุ่มแรกมาถึงด่านที่สองจากสิบ
เพราะหลังจากที่เดินมาได้หนึ่งในสิบของระยะทาง ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินก็เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ดังนั้นทุกคนได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้วสำหรับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันของรูปปั้น
แน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่ด่านที่สามจากสิบ ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
อักขระศักดิ์สิทธิ์บนกำปั้นของพวกมันกลายเป็นสองแถว!
“หืม!” ชายชราที่ถือกระดองเต่าตื่นตระหนกเป็นครั้งแรก และกระดองเต่าของเขาก็ถูกรูปปั้นหินโจมตีอย่างรุนแรง พลังอักขระศักดิ์สิทธิ์ของมันเริ่มไม่เสถียรและหายไปในทันที จากนั้นกระดองเต่าก็ถูกทำลายแตกออกเป็นเจ็ดส่วน
ทันทีที่กระดองเต่าถูกทำลาย ชายชราก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของรูปปั้นได้อีกต่อไป และถูกฆ่าตายทันที โดยที่ไม่มีโอกาสหลบหนี
“เล่นไม่ได้แล้ว!”
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริง อัจฉริยะหลายคนเลือกที่จะเอาจริงขึ้นมาบ้าง นี่เป็นเพียงแค่ด่านที่สาม มันยังมีอีกเจ็ดด่านรอคอยอยู่ด้านหน้า ซึ่งมันจะต้องยากขึ้นอย่างแน่นอนและเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่าน
นี่คือการทดสอบที่จอมยุทธระดับภูผาวารีสามารถผ่านไปได้จริงหรือ?
แต่ทุกคนก็หันไปมองหลิงฮันทันที ในตอนนี้คนกลุ่มที่สี่ถูกกำจัดออกไปหมดแล้วยกเว้นเขาแค่คนเดียว
“ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?”
“เขาคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งจากดาวเหอหนิงแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะ และเขามาจากการเปิดสวรรค์เมื่อสองปีก่อน”
คนที่มาจากจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะกำลังพูดเกี่ยวกับตัวตนเองหลิงฮัน
“อะไรนะ!”
ทุกคนตกใจและไม่อยากจะเชื่อ
“นี่ล้อเล่นหรือเปล่า?”
ก่อนหน้านั้น พวกเขาคิดว่าหลิงฮันเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้นเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าคนอื่นที่อยู่ที่นี่ แต่การที่เขาสามารถยืนหยัดอยู่ในค่ายอาคมรูปปั้นหินได้! แต่หลิงฮันขึ้นมาจากโลกใบเล็กเมื่อสองปีก่อน ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของหลิงฮันนั้นรวดเร็วเกินไป!
ภายในเวลาแค่สองปีจากระดับทลายมิติเป็นระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้น?
เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?
แต่มีหลายคนที่มาจากจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะให้คำยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อ
– ถ้าพวกเขาพูดโกหกแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา? แม้ว่ามันอาจจะเป็นการพูดจาโอ้อวดจักรวรรดิของตน แต่ความจริงก็จะปรากฏในอนาคตอยู่ดี
หากเป็นความจริง เขาคงไม่ใช่มนุษย์แล้ว ความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเขาเร็วและน่ากลัว!
จำนวนคนมากกว่าสี่ร้อยคน ลดลงเหลือน้อยกว่าสองร้อยคน ในครั้งนี้จำนวนคนกลุ่มที่สามลดลงจากสามร้อยกว่าคนเหลือแค่สามสิบกว่าคน และบางคนที่อยู่ในกลุ่มที่สองเลือกที่จะยอมแพ้ แต่ก็มีบางคนที่สู้จนตัวตาย แต่พวกเขายังมีมากกว่าหนึ่งร้อยคน
“นี่ พวกเรามาเดากันไหมว่าเขาจะหยุดตรงไหน?” ใครบางคนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน และพวกเขาก็เดาอยู่ในใจทีละคน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการเดิมพันเกินขึ้น นั่นเป็นเพราะผู้คนที่มาที่นี่มาจากดาวหลายร้อยดาว ใครเป็นใครบ้างก็ไม่รู้ แล้วพวกเขาจะกล้าเดิมพันได้อย่างไร
“อาจารย์จะต้องผ่านการทดสอบ!” ติงผิงกำหมัดแน่น
“ถูกต้อง นายท่านเป็นคนที่มีพรสวรรค์ไม่มีผู้ใดเปรียบ อย่าว่าแต่ผ่านการทดสอบนี้เลย แม้การทดสอบนี้จะยากกว่านี้สิบเท่า นายท่านก็สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย!” จักรพรรดิจอมอสูรกล่าว
สุ่ยเยี่ยนยวี่เองก็เชื่อมั่นในตัวหลิงฮันมั่น แต่หลังจากที่นางได้ยินคำพูดของจักรพรรดิจอมอสูร มุมปากของนางก็กระตุกเล็กน้อย และจักรพรรดิจอมอสูรพูดจาเยินยอจนมาถึงจุดที่ไร้ยางอาย
ในขณะนั้นเอง แม้แต่คนกลุ่มแรกก็ยังเริ่มชะลอความเร็วลง นั่นคือเซี่ยอู๋เฉียนและเส้าซือซือ ทั้งสองคนกำลังแสดงสีหน้าเหน็ดเหนื่อย เมื่อเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดที่กำจัดไม่หมดไม่สิ้นนี้
แต่บางคนก็ยังคงความเร็วเอาไว้
นั่นคือหลิงฮัน!
เขาเริ่มตามคนกลุ่มที่สามทัน และเขาเป็นคนที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มที่สี่
เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้น ทุกคนต่างกุมขมับด้วยความสับสน ทั้งที่ความเร็วของคนอื่นลดลง แต่ความเร็วของเขากลับเพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
“มันไม่ใช่เพราะความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น แต่เป็นเพราะความเร็วของคนอื่นๆลดลงต่างหาก!” ใครบางคนกล่าวความจริงตามที่เห็น
ทุกคนตกตะลึง!
ทั้งที่ความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดจากเพิ่มขึ้นในแต่ละช่วง แต่หลิงฮันยังคงรักษาความเร็วเอาไว้ได้ มันหมายความว่ายังไงกัน?
ไร้เหตุผล!
หลิงฮันไม่รู้สึกถึงแรงกดดันมากนัก จนถึงตอนนี้การโจมตีของหุ่นเชิดสามารถทำร้ายเขาได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ และถึงแม้เขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ต้องโคจรทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง คนกลุ่มแรกก็เข้าสู่ด่านที่สี่
ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินเพิ่มขึ้นอีกครั้งและอักขระศักดิ์สิทธิ์บนหมัดของพวกมันก็เพิ่มขึ้นเป็นสามแถว
ความแข็งแกร่งของมันไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่อักขระศักดิ์สิทธิ์ยังเพิ่มขึ้นทีละแถว ทำให้พลังต่อสู้ของพวกมันเพิ่มขึ้นหลายเท่า นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
แล้วจำนวนคนกลุ่มที่สองก็เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว