Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1148
พลังบ่มเพาะของทั้งสองคนไม่ได้สูงมากนัก ทั้งคู่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมีพรสวรรค์ในวิถีของตนเองอยู่ดี ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่สามารถกลายเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ยกตัวอย่างเช่นฟานจิน เขาปลดปล่อยออร่าเย็นยะเยือกออกมาจนกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อเป็นเช่นนี้การโจมตีของคู๋ต่อสู้จะถูกแช่ผนึกก่อนจะมาถึงตัวเขา
ในขณะเดียวกัน คู่ต่อสู้ของเขาก็เช่นกัน อีกฝ่ายสามารถกลายร่างเป็นสายฟ้าได้ ทักษะที่เขาใช้ทรงพลังกว่าทักษะอัสนีบาตเกาทิวาเสียอีก รูปแบบอาคมศักดิ์ศิทธิ์โอบล้อมไปทั่วร่างของเขาทำให้ไม่หวาดกลัวต่อการโจมตีของคู่ต่อสู้ที่โจมตีเข้ามา
ต่อให้จะมีระดับพลังมากกว่าพวกเขาหนึ่งขั้นย่อยก็ตาม จอมยุทธระดับภูผาวารีทั่วไปไม่มีทางยืนทัดเทียมพวกเขาได้เลย
การปะทะของทั้งสองคนกลายเป็นดุเดือดในทันที ทั้งคู่ต่างปลกปล่อยพลังโจมตีที่ทรงพลังออกมา
หากไม่นับระดับพลังบ่มเพาะแล้ว พลังต่อสู้ของทั้งคู่นับว่าน่าประทับใจมาก
เห็นได้ชัดว่าไม่อาจดูแคลนศิษย์เมล็ดพันธุ์ได้เลย
หลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่าหากเขามีพลังบ่มเพาะเท่ากับทั้งสองคน เขาจะสามารถจัดการทั้งสองคนได้รึไม่
พูดยากจริงๆ…
หลิงฮันลองเปรียบเทียบพลังต่อสู้กับพวกเขาดู ทั้งสองคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาตอนที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากันแม้แต่น้อย แต่นี่ยังไม่นับไพ่ลับของเขารวมเข้าไปด้วย อย่างเช่นหากเขาใช้ทักษะบัญญัติดาบไวกับศรฆ่ามังกรทะลวงดารา พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นสูงมก
ยิ่งกว่านั้นหลิงฮันก็ยังบ่มเพาะทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ที่ช่วยให้เขาขัดเกลากายหยาบได้อย่างน่าสะพรึงกลัว ดังนั้นถ้าเขาต่อสู้กับทั้งสองด้วยระดับพลังบ่มเพาะที่เท่ากัน โชคชะตาได้ตัดสินให้เขาเป็นผู้ชนะเอาไว้แล้ว
หลังจากปะทะกันเป็นเวลานาน ฟานจินก็เป็นฝ่ายชนะอย่างฉิวเฉียด
ทั้งสองคนกับไปนั่งพักผ่อนทำให้ลานประลองพร้อมสำหรับการต่อสู้ของคู่ต่อไป
หลังจากสองคนปะทะกันเสร็จก็มีอีกหลายคู่ที่ขึ้นไปแลกเปลี่ยนวรยุทธอย่างดุเดือด การต่อสู้ของพวกเขาน่าตื่นตาตื่นใจมาก
พวกเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะของนิกาย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเลยที่ใช้ประโยชน์จากการที่มีพลังบ่มเพาะสูงกว่าจัดการคู่ต่อสู้ ทุกคนจะสู้เฉพาะกับคนที่มีพลังบ่มเพาะเท่าตนเองหรืออย่างน้อยก็ต่างกันหนึ่งขั้นย่อย
แม้จะเรียกว่าหนึ่งขั้นย่อยความต่างของพลังต่อสู้ก็อาจจะมากถึงสามดาว แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ในโลกแห่งจอมยุทธไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความยุติธรรมอันเท่าเทียม’ อยู่แล้ว
ที่จริงการที่สามารถชนะหรือเสมอในขณะที่ตนเองมีพลังบ่มเพาะต่ำกว่าคู๋ต่อสู้หนึ่งหรือสองขั้นย่อยนั้นเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก หากทำเช่นนี้ได้จะเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะของจริง
แม้หลิงฮันจะคันไม้คันมืออยากสู้ แต่คนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้มีเพียงเหอเต๋ากับอู๋เจ๋อเท่านั้น คนอื่นๆนอกจากสองคนนี้อ่อนแอเกินไปที่จะท้าทายเขา หลิงฮันคร้านที่จะท้าทายคนอื่น ดังนั้นเขาจึงนั่งดูการต่อสู้อยู่อย่างเงียบๆ
หลิงฮันพยักหน้ากับตัวเอง แม้วิถีบ่มเพาะพลังของทุกคนจะต่างกัน แต่การได้ดูการปะทะกันของพวกเขาก็ยังมีประโยชน์ต่อเขา
“ข้าติงผิง โปรดชี้แนะด้วย!”
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเขาก็เห็นลูกศิษย์ของตัวเองกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง คู่ต่อสู้ของเขาคือสตรีที่เยาว์วัยและมีรูปลักษณ์งดงามราวกับเทพธิดา นางสวมเสื้อและกระโปรงยาวสีแดงเข้ม แม้จะดูสะดุดตาไปบ้างแต่ก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดี
ติงผิงหน้าแดงทันทีเมื่อเห็นสาวงามนางนี้ เขายังอายุน้อยและใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะเพราะหรือไม่ก็เดินทางฝึกตน เพราะงั้นเขาจึงขาดประสบการณ์ในด้านนี้
“หลันหลวน!” สาวงามไม่รีรอ นางบุกโจมตีทันทีที่เอ่ยชื่อเสร็จ
นางใช้ดาบเป็นอาวุธ ปราณดาบนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปในขณะที่นางแทงดาบไปด้านหน้า แม้แต่ชั้นมิติก็ยังถูกฉีกกระชากเกิดเป็นรอยแยกกลางอากาศ
ใบหน้าที่แดงอยู่ของติงผิงหายไปทันทีเมื่อเริ่มแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับคู่ต่อสู้ เขามีสบการณ์ต่อสู้โชกโชนและเข้าใจความโหดเหี้ยมของการต่อสู้เป็นอย่างดี เมื่ออยู่ในสนามรบคู่ต่อสู้ก็นับว่าเป็นศัตรู เขาไม่อาจออมมือให้นางเพียงเพราะมีรูปลักษณ์งดงาม
เขาเกิดมามีโครงสร้างกระดูกที่พิเศษแตกต่างกับคนอื่น เขาสามารถปลดปล่อยพลังโจมตีที่รุนแรงร้อยเท่าซึ่งช่วยยกระดับพลังต่อสู้ของเขาให้เพิ่มขึ้นอีกสองดาว
ในระดับทลายมิติ ติงผิงขัดเกลาพลังจนเกือบจะบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ เมื่อทะลวงผ่านมายังระดับภูผาวารีเขาจึงมีพลังต่อสู้มากกว่าห้าดาวนิดหน่อย และเมื่อรวมกับสองดาวที่เกิดจากโครงสร้างกระดูกอันทรงพลังแล้ว ต่อให้ไม่ต้องใช้ทักษะลับใดๆเลยหมัดเปล่าๆของเขาก็เรียกได้ว่าเป็นอาวุธทำลายล้างที่ทรงพลัง
พลังต่อสู้ของเขามีมากกว่าเจ็ดดาว! ทรงพลังถึงขั้นที่ว่าสามารถโค่นคู๋ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
เหล่าสุดยอดอัจฉริยะทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นติงผิงปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา
“เด็กหนุ่มนี้… ช่างน่าอัศจรรย์!”
ต่อให้เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์เช่นพวกเขาก็ยังมีพลังต่อสู้ราวๆห้าถึงหกดาว ถ้าพวกเขาต้องการเพิ่มพลังต่อให้เป็นเจ็ดดาว พวกเขาจำเป็นต้องสร้างภูผาวารีสายที่ห้าเพื่อทำลายขีดจำกัดพลังของตัวเอง
หรือกล่าวได้ว่าพลังต่อสู้หกดาวหรือขีดจำกัดของระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด
เพียงแต่ว่าติงผิงได้ทำลายขีดจำกัดที่ว่าและครอบครองพลังต่อสู้เจ็ดดาวโดยที่ไม่ใช้ทักษะลับใดๆ หมัดของเขาธรรมดาและไม่รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้ม แต่ถึงอย่างนั้นหมัดของเขากลับทรงพลังราวกับเป็นหมัดของเทพเซียน
พลังบ่มเพาะของหลันหลวนเท่ากับติงผิง ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุด เพียงแต่ว่าพลังของนางอ่อนแอว่าเขามากทำให้ถูกจัดการโดยที่ไม่สามารถทำได้แม้แต่จะโจมตีตอบโต้
นางเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ ดังนั้นนางไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆแน่นอน
“ฮึ้ยย่า!” นางส่งเสียงร้องเบาๆ ทันใดนั้นเส้นแสงสีฟ้าก็ระเบิดออกมาจากร่างของนางและก่อตัวกันกลายเป็นนกขนาดเท่าฝ่ามือมากมายหลายตัวพุ่งเข้าใส่ติงผิง
“หืม? นั่นมันวิหคจะงอยฟ้า!”
“นกเหล่านั้นเป็นนกศักดิ์สิทธิ์จากยุคโบราณ ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยจิกกัดเซียนจนถึงแก่ความตาย!”
ใครบางคนอุทานด้วยความประหลาดใจและเล่าเรื่องราวตำนานที่น่าตะลึงออกมา
เซียนคือตัวตนระดับสร้างสรรค์พสิ่งที่แสนทรงพลัง พวกเขาเป็นตำนานในหมู่ตำนาน แต่ถึงอย่างนั้นวิหคจะงอยฟ้ากลับสามารถจิกเซียนจนตายจริงๆน่ะรึ? พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหนกันแน่?
วิหคจะงอยฟ้าอย่างน้อยร้อยตัวพุ่งเข้าใส่ติงผิง พวกมันอ้าจะงอยปากอันแหลมคมแยกจากกันทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นกาหมุนวนของรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ตัวพวกมัน ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการพลังของนกเหล่านี้ได้… การโจมตีของพวกมันได้ได้อ่อนด้อยไปกว่าการโจมตีของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์
ขนาดเซียนยังถูกจิกจนตาย ตำนานนี้เป็นข้อยืนยันว่าวิหคเหล่านี้ทรงพลังแค่ไหน ถึงแม้พวกมันจะถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของจอมยุทธระดับภูผาวารีพวกมันก็ยังค่อนข้างทรงพลังอยู่ดี
ติงผิงไม่หวั่นไหวและปล่อยหมัดไปด้านหน้า อำนาจของหมัดทำให้อากาศบีบอัดเข้าหากันจนเกิดเป็นคลื่นพลังที่ลบล้างวิหคจะงอยฟ้าให้หายไปก่อนจะมาถึงตัวเขา
หลันหลวนส่งเสียงร้องอีกครั้ง วิหคจะงอยฟ้าถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของนางและรวมกันกลายเป็นวิหคจะงอยฟ้าขนาดมหึมา ออร่าอันทรงพลังที่สัมผัสได้จากวิหคจะงอยฟ้าเพิ่มสูงขึ้นมหาศาลในพริบตา