Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1326
เรื่องคือปมที่เหลือค้างของติงจื่อเฉิน?
“เซียนไม่ใช่ระดับพลังสูงสุด!” นอกจากหลิงฮัน ร่างของคนอื่นๆสั่นสะท้านไม่หยุด สามัญสำนึกของพวกเขาถูกทำลายอย่างไม่อาจยอมรับได้
พวกเขาเชื่อมาตลอดว่าเซียนคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล คนที่จะสังหารเซียนได้… คือเซียนเหมือนกันเท่านั้น!
หรือนี่จะเป็นเรื่องหลอกลวงที่ติงจื่อเฉินสร้างขึ้นมา?
ทั้งฉือหวงและเป่ยหวงต่างไม่มั่นใจ มีเพียงหลิงฮันเท่านั้นที่รู้ว่านี่คือเรื่องจริงเนื่องจากเขารู้ว่าเหนือกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมีดินแดนแห่งเซียน แม้ดินแดนทั้งสองจะอยู่ในจักรวาลเดียวกันแต่ดินแดนแห่งเซียนเป็นดินแดนที่อยู่เหนือกว่า
เดี๋ยวก่อน… ถ้าเหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือดินแดนแห่งเซียน แล้วในด้านของดินแดนใต้พิภพล่ะ?
ไม่ถูกต้อง… หากต้องการเปิดผนึกเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียน จำเป็นต้องผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือจ้าวอสูรก็สมควรมีเงื่อนเช่นนี้เหมือนกัน
ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนใต้พิภพ สุดท้ายแล้วเส้นทางของพวกเขาย่อมเป็นการเปิดผนึกเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนเหมือนกัน
เพราะอย่างไรปราณแห่งเซียนที่พวกเขาดูดซับมานั้นแฝงไว้ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน… หลิงฮันรู้สึกราวกับจับจุดอะไรบางอย่างได้ แต่ไม่ว่าจะนึกอย่างไรเขาก็ไม่เข้าในความรู้สึกนั้นซึ่งทำให้เขาหงุดหงิดอย่างยิ่ง
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
ทุกคนอยากจะรู้เรื่องราวต่อไป เกวียนได้เดินหน้าต่อพร้อมกับทุกคนเข้าสู่ห้วงความฝัน
เมื่อติงจื่อเฉินกลับมาแล้วพบว่าคนรักกับบุตรสาวของตนถูกสังหาร ความเศร้าโศกในใจเขาได้ถูกจุดขึ้นมา บรรยากาศของเขตดวงดาวในบริเวณนั้นก็เปลี่ยนเป็นมืดสลัวทันที ดวงอาทิตย์กลายเป็นสีแดงราวกับโลหิต ทั่วทั้งเขตดวงดาวได้กลายเป็นเขตดวงดาวแห่งความตาย
นี่คือพลังที่ของตัวตนที่อยู่เหนือเซียน เพียงแค่ร่ำไห้ก็สามารถเปลี่ยนเขตดวงดาวที่มีดวงดาวอยู่นับไม่ถ้วนให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย
ติงจื่อเฉินกลับไปยัง ‘บ้านเกิด’ ของตนเองและบุกไปยังตระกูลของคู่หมั้น เขาลงมือสังหารนางด้วยเงื้อมมือตนเองและนำสมบัติของนางไปวางไว้ยังหลุมศพของคนรักกับบุตรสาว
การกระทำของติงจื่อเฉินทำให้เขาถูกสองตระกูลไล่ล่า ตระกูลติงที่ต้องการแก้ไขความบาดหมางระหว่างสองตระกูลได้ส่งติงเหยาหลงเป็นคนออกไล่ล่า ในการต่อสู้นองเลือดของทั้งสอง ติงจื่อเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสจนอำนาจแห่งเต๋าเสียหายอย่างไม่อาจรักษากลับมาได้
แม้เขาจะหลบหนีมาได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็เหลือพลังชีวิตไม่มาก
เขาฝังร่างของตนเองให้หลับใหลอย่างนิรันดร์อยู่เคียงข้างกับคนรักผู้ล่วงลับ ส่วนสมบัติที่เขาชิงมาจากคู่หมั้นนั้นถูกใช้ให้กับบุตรสาว ในตอนที่บุตรสาวของเขาถูกสังหารเขาสามารถรวบรวมวิญญาณของนางกลับเข้ามารวมกันใหม่ได้สำเร็จและมอบโอกาสเกิดใหม่ให้แก่นาง
อั่ก!
ทุกคนสำลักออกมาหลังจกสที่เห็นเห็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของติงจื่อเฉินกับติงเหยาหลงในความฝัน มันน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ดวงดาวมหึมามากมายถูกเป่าเป็นจุล สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนสูญพันธุ์ภายในพริบตา
“เซียนไม่ได้มีพลังขนาดนั้น!” เป่ยหวงกล่าว “แม้อาจารย์ของข้าจะเป็นเพียงเซียนระดับต่ำก็ตามที แต่ต่อให้เป็นเซียนระดับสูง หากต้องการทำลายดวงดาวก็จำเป็นต้องใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดออกมา”
“แต่ว่าแค่คลื่นพลังจากการต่อสู้ของสองคนนั้นกลับทำให้ดวงดาวนับไม่ถ้วนแหลกสลาย แม้แต่ราชาเซียนก็ไม่สามารถทำได้” ฉือหวงกล่าวต่อ
ทุกคนพยักหน้า ตอนนี้พวกเขามั่นใจแล้วว่ามีระดับพลังที่เหนือกว่าเซียนอยู่จริงๆ ซึ่งก็คือระดับโลกียนิพพาน
เพียงแต่ว่าจากในห้วงความฝันของติงจื่อเฉิน ดวงดาวบ้านเกิดของเขาดูเหมือนว่าจะมีปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานอยู่มากมาย ที่ตระกูลติงมีตัวตนเช่นนั้นอยู่ราวๆสิบคน ตระกูลของคู่หมั้นเขาเองก็มีจำนวนใกล้เคียงกัน
น่าสะพรึงกลัว!
เขตดวงดาวของพวกเขามีเซียนอยู่เพียงแค่หยิบมือ แต่ที่ที่พวกติงจื่อเฉินอยู่กลับมีตัวตนที่เหนือกว่าเซียนอยู่เกินสิบ!
สถานที่นั่น… คือสถานที่ใดกัน?
ดินแดนแห่งเซียน!
หลิงฮันกล่าวในใจ ติงจื่อเฉินมีต้นกำเนิดคือดินแดนแห่งเซียนจึงไม่แปลกที่สถานที่นั้นจะมีปรมาจารย์อยู่มากมาย จากระดับชั้นพลังของที่นั่น ระดับโลกียนิพพานไม่มีทางเป็นระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุด
“ในเมื่อพวกเจ้าปรากฏตัวที่นี่แล้วย่อมหมายความว่าบุตรสาวของข้าผสานวิญญาณได้สมบูรณ์แล้ว” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของพวกเขา ทุกคนรู้สึกคุ้นกับเสียงนี้มาก
มันคือเสียงของติงจื่อเฉิน!
“ช่วยเหลือบุตรสาวของข้าในขั้นตอนสุดท้ายของการผสานวิญญาณแล้วพวกเจ้าจะได้รับทักษะระดับนิรันดร์ ‘กาลเวลาแปรผันพันปี’ ที่ข้าทิ้งเอาไว้” เสียงของติงจื่อเฉินดังขึ้นอีกครั้ง
นั่นไม่ใช่เสียงคนพูดจริงๆแต่เป็นเสียงจากสัมผัสสวรรค์ที่ดังขึ้นในห้วงจิตใจของพวกเขา เป็นติงจื่อเฉินที่ตายไปแล้วไม่รู้กว่ากี่พันล้านปีได้ทิ้งเศษเสี้ยวจิตวิญญาณเอาไว้เพื่อช่วยเหลือบุตรสาว
ทันใดนั้นเองทุกคนตื่นตัวด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ในห้วงความฝัน ติงเหยาหลงได้ใช้ทักษะลึกลับของตระกูลติงในการควบคุมเวลา เขาสามารถเร่งเวลาให้พลังโจมตีของศัตรูลดลงได้เป็นร้อยพันเท่า ทักษะเช่นนี้เป็นได้ทั้งสุดยอดทักษะป้องกันและทักษะโจมตีในเวลาเดียวกัน
ต้องนำมาครองให้ได้!
จังหวะนี้เอง ทุกคนมองหน้ากันและแสดงสีหน้าไร้ความลังเล
ทักษะลับเช่นนั้น ใครบ้างจะไม่อยากได้มาครอบครอง?
หลิงฮันกล่าว “อย่างแรกคงต้องตามหาบุตรสาวของผู้อาวุโสติงเสียก่อน”
ในเมื่อติงจื่อเฉินยอมถึงขนาดมอบทักษะที่ล้ำค่าเช่นนั้นให้ การกำเนิดใหม่คงไม่ในเรื่องง่ายๆแน่
นอกจากซั่วเฉียนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นอัจฉริยะระดับราชา พวกเขาสามารถควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี ทุกคนพยักหน้าและระงับความโลภในใจเอาไว้
ห้ามรีบร้อน
เกวียนขยับเดินหน้าอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในห้วงความฝันได้อีกต่อไปเนื่องจากติงจื่อเฉินได้ให้พวกเขาเห็นสิ่งที่ต้องการหมดแล้ว
ตอนนี้ทุกคนพอเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
ทำไมป่าภูผาวารีจะเปิดออกในช่วงเวลาสามหมื่นปี ส่วนหุบเขาสุริยันจันทราจะเปิดออกในช่วงสี่หมื่นปีน่ะรึ? นั่นเพราะติงจื่อเฉินใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับคนรักเป็นเวลาสามหมื่นปีและสี่หมื่นปีต่อมาเขาถึงได้ให้กำเนิดบุตรสาว
เรื่องยิบย่อยเหล่านี้ก็ส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่หลงเหลือไว้
ทำไมสองที่นั้นถึงมีปราณแห่งเซียน? นั่นก็เพราะติงจื่อเฉินมีต้นกำเนิดคือดินแดนแห่งเซียน เหนือไปกว่านั้นก็คือเขาเป็นตัวตนระดับนิรันดร์!
หรือว่าสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่เกิดในที่แห่งนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับติงจื่อเฉิน?
มีความเป็นไปได้…
ที่นี่คือสนามรบสองดินแดนซึ่งเป็นสถานที่ที่โลหิต วิญญาณ กระดูกและจิตวิญญาณของติงจื่อเฉินถูกฝังเอาไว้ จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ส่วนเม็ดทรายสีทองเองก็อาจจะเป็นเลือดเนื้อของติงจื่อเฉินที่ถูกเปลี่ยนสภาพหลังจากสิ้นชีวิต
เพียงแต่ว่าในเมื่อพวกเขาสามารถเข้าสู่ห้วงความฝันนั่นได้ เหล่าตัวตนระดับวารีนิรันดร์ทั้งสี่ที่เข้ามาก่อนหน้าพวกเขาก็สมควรเห็นความฝันนี้เหมือนกัน
“ต้องรีบแล้ว!”
ทุกคนจ้องตากัน ฉือหวงเร่งความเร็วของเกวียนขึ้นทันที
‘ครืนน’ เกวียนเคลื่อนที่บดขยี้ทุกอย่างที่ขวางหน้า ภายใต้ระดับเซียนไม่มีอะไรสามารถหยุดมันได้ ราวๆหนึ่งวันต่อมาหมอกรอบด้านก็กระจายตัวทำให้มองเห็นภูเขาที่อยู่เบื้องหน้า ภูเขาลูกนี้ราวกับว่ามันถูกตัดจนทำให้มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยม
“นั่นไม่ใช่ภูเขา… มันคือโลงศพ!”