Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1352
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าติงผิงจะรับหน้าที่เป็นผู้ประลอง ทุกคนจึงมายังลานผู้ชมเพื่อดูการประลองเสียก่อน
ภาพที่พวกเขาเห็นนั้นบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก ผู้ชมที่นั่งดูการประลองอยู่ต่างตะโกนเสียงดังลั่น ตรงกลางลานประลองมีชายคนหนึ่งกำลังสู้กับหมียักษ์ที่บ้าคลั่งอยู่ ระดับพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สูงมาก พลังของทั้งสองคือระดับห้วงจิตวิญญาณเท่านั้น แต่การต่อสู้กลับโหดเหี้ยมอย่างมาก
ท้องของหมียักษ์เปิดออก โลหิตและอวัยวะภายในของมันไหลทะลักออกมา ชายที่ต่อสู้กับมันเองก็เหลือแขนซ้ายอยู่เพียงข้างเดียวโดยโลหิตไหลโอบไปทั่วร่าง
หนึ่งคนหนึ่งหมีปะทะอย่างเอาเป็นเอาตาย หากไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร่วงหล่นการประลองก็จะดำเนินต่อไป
“ไม่ใช่ว่าที่ดาวดวงนี้สัตว์อสูรกับเผ่ามนุษย์มีสิทธิ์เท่าเทียมกันรึ?” ติงผิงสงสัย
“ความเท่าเทียมมีผลต่อสัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายคลึงมนุษย์เท่านั้น” เจียนเยว่ซวนคลายข้อสงสัยให้กับศิษย์น้อง “ไม่ว่าจะสัตว์อสูรหรือมนุษย์ หากมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตของมนุษย์ ในสายตาของเหล่าจอมยุทธระดับพระเจ้าพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก”
กลุ่มของหลิงฮันล้วนแต่มาจากโลกใบเล็กกันทั้งนั้น พวกเขาไม่สามารถมองคนที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตของมนุษย์เป็นเหมือนมดปลวกได้
ในที่สุดการประลองก็สิ้นสุด สุดท้ายเผ่ามนุษย์ก็เป็นฝ่ายเอาชนะได้โดยการสังหารหมียักษ์ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ท้องของเขาแหวกออกเนื่องจากถูกกรงเล็บหมียักษ์ฉีกกระชาก อวัยวะภายในของเขาไหลทะลักออกมา
แต่พลังชีวิตของจอมยุทธนั้นไม่หมดลงง่ายๆ ตราบใดที่เขารักษาบาดแผลได้ทันก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่แขนที่ขาดนั้นไม่สามารถฟื้นฟูได้นอกเสียจากจะได้รับการรักษาจากสมบัติที่ฝืนสวรรค์สวรรค์หรือทะลวงผ่านระดับพระเจ้า
ติงผิงมุ่งหน้าไปลงทะเบียนร่วมประลอง เนื่องจากผลึกก่อเกิดที่ใช้เดิมพันกับเขานั้นมีจำนวนมหาศาล ทางเจ้าหน้าที่จึงยังไม่ตกลงทันทีและขอตรวจสอบพลังบ่มเพาะของเขาก่อน
แต่จากการตรวจสอบพวกเขารู้เพียงแค่ว่าติงผิงมีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยทางลานประลองก็ยอมให้ติงผิงต่อสู้
แต่กว่าติงผิงจะลงประลองได้ต้องรอไปอีกสักพักเนื่องจากที่นี่มีผู้คนรอลงประลองอยู่มากมาย
เหตุผลที่คนมาประลองที่นี่หนึ่งคือเพื่อเงินเดิมพัน สองคือเพื่อชื่อเสียง
หากชนะการประลองสิบครั้งติดกัน ไม่เพียงแต่จะได้เงินเดิมพันจำนวนมากแต่พวกเขายังจะได้เป็นที่รู้จักอีกด้วย การประลองนั้นมักจะมีทายาทของตระกูลใหญ่มาดูอยู่ตลอด ถ้าพวกเขาทำให้ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านั้นสนใจและรับเข้าตระกูลได้ อนาคตของพวกเขาก็จะรุ่งโรจน์ไร้ขีดจำกัด
ในเมืองเมืองวายุผสานมีตระกูลใหญ่อยู่สามตระกูลคือตระกูลหลิน ตระกูลหลี่และตระกูลซือหม่า ทั้งสามตระกูลมีต้นตระกูลเป็นปรมาจารย์ระดับดาราขั้นสูงสุด
ลานประลองแห่งนี้เองก็ถูกก่อตั้งโดยสามตระกูลใหญ่ที่ว่า ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายขึ้นที่นี่และเชื่อฟังกฎที่ทั้งสามตระกูลตั้งเอาไว้
ในเมืองวายุผสาน สามตระกูลใหญ่เปรียบเสมือนพระเจ้าที่ไม่อาจล่วงเกินหรือขัดคำสั่ง
การประลองนองเลือดดำเนินต่อไป แทบจะทุกการต่อสู้จะต้องมีคนเสียชีวิตหรือไม่ก็สาหัสปางตาย
หลังจากผ่านไปครึ่งวันเศษๆ ก็ถึงตาติงผิงลงประลอง
คู่ต่อสู้คนแรกของเขาคือชายวัยกลางคนที่มีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด ชั้นย่อยอาจจะอยู่ที่ราวๆชั้นกลางหรือสูงกว่านั้น แววตาของเขาแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย ร่างครึ่งบนของเขาเปลือยเปล่าและมีรอยแผลเป็นมากมาย
นี่หมายความว่าเขาลงประลองมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว การที่เขาสามารถเอาชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ แสดงให้เห็นว่าพลังต่อของเขาไม่อาจประมาทได้
“โปรดชี้แนะ!” ติงผิงยกมือผสานกัน
‘พรึบ’ ทันทีที่ติงผิงยกมือขึ้น ชายวัยกลางคนเตรียมตัวจู่โจมเอาไว้แล้ว เท้าทั้งสองข้างของเขาย่ำเข้าที่พื้นพร้อมกับกระโดดสูงขึ้นฟ้า ชายวัยกลางคนยกกระบี่ยาวขึ้น แสงประกายวิบวับจากกระบี่ส่งผลให้คนที่มองไปยังเขาต้องปิดตา
พริบตาหลังจากนั้นกระบี่ก็ถูกฟาดฟันลงมาเข้ามาคู่ต่อสู้
‘ครืนนน’ กระบี่ยาวสั่นสะเทือนพร้อมกับปล่อยพลังทำลายของระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดชั้นปลายออกมา
เมื่อเห็นว่ากระบี่ของตนกำลังจะเข้าปะทะกับคอของติงผิง ชายวัยกลางคนก็แสยะยิ้ม ระยะใกล้ขนาดนี้อีกฝ่ายไม่มีทางหลบกระบี่ของเขาได้ทันแน่นอน โชคดีจริงๆ คู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก!
เขาเป็นลูกจ้างของลานประลองแห่งนี้ที่ต้องลงต่อสู้ทุกๆสิบวัน ไม่ว่าแพ้หรือชนะเขาก็ได้รับเงินตอบแทน แต่แน่นอนว่าหากชนะเงินตอบแทนก็ย่อมสูงกว่า
‘ฉึบ!’
พริบตานั้นเอง ติงผิงได้ยื่นมือออกมาคว้าหยุดกระบี่ยาวเอาไว้
อะไรกัน!
ชายวัยกลางคนตกตะลึงจนตาแทบถลนออกจากเบ้า กระบี่นี้ถูกฟาดฟันออกไปด้วยพลังทั้งหมดของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่จะถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว? ต่อให้ใช้ปราณก่อเกิดปกคลุมมือเอาไว้นิ้วของอีกฝ่ายก็สมควรถูกหั่นขาดและกระบี่ก็จะสะบั้นเข้าที่คอเป้าหมาย
ติงผิงยิ้มและออกแรงเหวี่ยงร่างชายวัยกลางคนลอยกระเด็นเข้าใส่กำแพงลานประลอง
กำแพงลานประลองถูกสร้างจากหินพิเศษของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และถูกเสริมรูปแบบอาคมลงไป พลังทำลายที่ต่ำกว่าระดับดาราไม่สามารถทำลายกำแพงนี้ได้ ดังนั้นเมื่อชายวัยกลางคนถูกกระแทกเข้ากับกำแพง ร่างของเขาก็ปกคลุมไปด้วยโลหิตและหมดสติทันที
เหล่าผู้ชมแน่นิ่งไร้คำพูด แต่ผ่านไปชั่วครู่ผู้ชมทั้งหมดก็โห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น สตรีบางคนถึงขนาดถอดชุดชั้นในโยนลงไปยังติงผิงที่อยู่ในลานประลอง
โสมเฒ่าเมื่อเห็นชุดชั้นในมากมายก็รู้สึกคันไม้คันมือทันที พลังตัณหาแผ่ซ่านสูบฉีดเข้าสู่ร่างของมันราวกับจะกลายเป็นหมาป่าหื่นกระหาย
“หืม เจ้าหนูนั่นแข็งแกร่งไม่เบา!” บนที่นั่งของสามตระกูลใหญ่ รุ่นเยาว์ผิวฟ้าเผยสีหน้าประหลาดใจ
เขาคือซือหม่าหลิงแห่งตระกูลซือหม่า ตระกูลของเขาไม่ใช้เผ่ามนุษย์บริสุทธิ์ผิวจึงเป็นสีฟ้า ในตระกูลซือหม่า ยิ่งผิวมีสีฟ้าเข้มก็หมายถึงความเข้มข้นของสายเลือดนั้นเข้มข้น ซือหม่าหลิงผู้นี้คือผู้นำรุ่นเยาว์แห่งตระกูลซือหม่า
“เห็นด้วย” ด้านข้างเขามีรุ่นเยาว์อีกคนนั่งอยู่ เขาเป็นชายที่หน้าตางดงามมาก หากให้เขาสวมชุดสตรีคงมีคนรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างว่าเขาเป็นบุรุษรึเปล่า
ท่าทางของเขาเองก็ละเมียดละไมราวกับสตรี เขาถือแก้วด้วยสองนิ้ว คิ้วและปากบางอย่างมีเสน่ห์
“แม้ฮวาหลันถัวจะไม่ใช่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดแต่ก็ลงประลองมาแล้วกว่าสามสิบเก้าปี เขามีประสบการณ์การต่อสู้ในสนามประลองไม่น้อยกว่าหนึ่งพันครั้ง หากเขาจะแพ้ก็ไม่ควรจะแพ้อย่างราบคาบเช่นนั้น”
“เด็กหนุ่มคนนั้นมีค่าแก่การรับมาฟูมฟัก”
ชายคนนี้เป็นผู้นำรุ่นเยาว์แห่งตระกูลหลิน หลินเซี่ยน ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมราวสตรีทำให้เขาถูกเรียกว่าอสรพิษ
ด้านข้างของทั้งสองมีสตรีที่งดงามอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ นางเป็นคุณหนูแห่งตระกูลหลี่ หลี่ลั่วถง
“ชายหนุ่มคนนั้น ตระกูลหลี่ของข้าต้องการ!” นางกล่าวเบาๆด้วยน้ำเสียงหนักแน่น