Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1467
ในสำนักละอองดารามีวัฒนธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือศิษย์พี่จะต้องรับน้องศิษย์ใหม่
ที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะเหล่าจอมยุทธที่สามารถเข้าร่วมสำนักได้ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคสมัยที่เป็นราชาระดับหนึ่งเป็นอย่างน้อย
ราชาคนไหนบ้างจะไม่มีนิสัยที่อวดดีโอหัง?
ดังนั้นทางสำนักจึงต้องกำราบความอวดดีนั้นโดยการให้พวกเขารู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า!
การที่เข้าร่วมสำนักละอองดารามาแล้วล้านปีย่อมหมายถึงศิษย์พี่เหล่านี้บ่มเพาะพลังมามากกว่าเหล่าศิษย์ใหม่ล้านปี บางทีอาจจะสองล้านปี ห้าล้านปี หรือสิบล้านปีด้วยซ้ำ!
ผู้นำของศิษย์พี่ที่ทำหน้าที่รับน้องมีชื่อว่าอี้เกาหนิง เขาเป็นศิษย์ที่เข้าร่วมกับสำนักละอองดาราเมื่อสามล้านปีก่อนและเป็นอัจฉริยะระดับราชาเช่นกัน
เมื่อเจ็ดแสนปีก่อนเขาเพิ่งทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ได้สำเร็จ แน่นอนว่าความมั่นใจของเขาจึงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง
ศิษย์พี่ที่ทำหน้าที่รับน้องตอนที่เขาเพิ่งเข้าร่วมสำนักนั้นล้วนแต่มีพลังแข็งแกร่งกว่าเขาจนไม่อาจเอาคืนได้ เพราะงั้นเขาจึงมาลงความขุ่นเคืองที่มีกับศิษย์น้องใหม่แทน
ซึ่งก็คือวัฒนธรรมลอดช่องสุนัขนั่นเอง
อี้เกาหนิงชี้ไปยังช่องลอดสุนัขซึ่งมีมานานแล้วหลายร้อยล้านปี ศิษย์ใหม่ทุกคนต้องถูกบังคับให้ลอดช่องสุนัขช่องนี้ ต่อให้ศิษย์ใหม่จะเป็นราชาแห่งยุคแต่พวกเขาก็ไม่ว่าขัดขืนได้เมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์
แรงกดดันของตัวตนระดับวารีนิรันดร์หนักหน่วงจนแม้แต่ศิษย์ใหม่ที่เป็นราชาก็ยังสั่นสะท้าน
เว้นเพียงแต่สองคนที่ไม่รู้สึกอะไรอย่างหลิงฮันและจักรพรรดินี
ทั้งสองมีพลังระดับดาราขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด พลังต่อสู้ของพวกเขาเทียบระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นชั้นปลายหรืออาจจะชั้นสูงสุด
คิดจะใช้อำนาจกดขี่พวกเขา? ให้เซียนมาแทนเถอะ
“ฮึ่ม” อี้เกาหนิงหรี่ตาก่อนจะปลดปล่อยอำนาจให้รุนแรงขึ้น
“พวกเจ้ามัวทำอะไร รีบๆลอดเร็วเข้า!” ศิษย์พี่คนหนึ่งชี้ไปยังกลุ่มศิษย์น้อง พลังของเขานั้นอ่อนแอกว่าอี้เกาหนิง เขาเป็นเพียงจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงสุดที่คาดว่าน่าจะไม่สามารถขัดเกลาพลังให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ได้เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาสำนักละอองดาราไม่เคยรับศิษย์ที่เป็นราชาระดับสามเลยสักคน
อย่าว่าแต่ราชาระดับสามเลย แค่ราชาระดับสองก็มีจำนวนเพียงหยิบมือจนน่าใจหาย ดังนั้นศิษย์พี่ผู้นี้จึงสมควรเป็นราชาระดับหนึ่งที่ขัดเกลาขั้นสมบูรณ์ในระดับภูผาวารี
“เร็วเข้า หรือพวกเจ้าอยากให้พี่อี้ลงมือ?” ศิษย์พี่คนหนึ่งเร่งเร้า
ศิษย์พี่เหล่าเคยถูกทำให้อัปยศโดยการคลานลอดช่องสุนัขมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความคับแค้นในจิตใจที่ว่าสักวันหนึ่งพวกเขาต้องทำให้เหล่าศิษย์รุ่นต่อไปมีโชคชะตาเช่นเดียวกัน
“ทำไมพวกข้าต้องทำตาม?” ศิษย์น้องกล่าวคัดค้าน “ที่นี่คือสำนักละอองดารา พวกเจ้ากล้าก่อความวุ่นวายงั้นรึ!”
“น่าขัน ในเมื่อเจ้ารู้ว่าที่นี่คือสำนักละอองดาราก็สมควรรู้ไว้ด้วยว่านี่คือขนบธรรมเนียม!” ศิษย์พี่แสยะยิ้ม “หากพวกเจ้าไม่อยากถูกทุบตีทุกวันก็จงคลานลอดผ่านช่องสุนัขนี่เสีย ไม่เช่นนั้นพวกเจ้ารอคอยรับความอัปยศที่โหดเหี้ยมกว่านี้ได้เลย จะบอกให้ว่าศิษย์พี่ของพวกเจ้านั้นมีทั้งปรมจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงและสูงสุด”
ขนบธรรมเนียมนี้ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้!
ต่อให้เป็นตัวตนระดับสูงในสำนักตอนนี้ก็ล้วนแต่เคยผ่านจุดนี้มาแล้วทั้งนั้น
หลังจากฟังคำพูดนั้น เหล่าศิษย์ใหม่ก็ก้มหัวและยอมคลานลอดผ่านช่องสุนัขทีละคน
ศิษย์เก่าแต่ละคนจ้องมองกัน พวกเขายิ้มตลกหัวเราะขำขันเหล่าศิษย์ใหม่
ศิษย์ใหม่ของแต่ละสำนักย่อยมีเพียงร้อยคน แม้พวกเขาจะคลานกันอย่างเชื่องช่างแต่แค่ลอดช่องสุนัขนั้นจะใช้เวลานานเท่าไหร่เชียว?
“หืม พวกเจ้าสามคนมัวทำอะไร?” ศิษย์พี่คนหนึ่งชี้ไปยังกลุ่มหลิงฮันสามคน ศิษย์ใหม่คนอื่นๆต่อแถวรอคลานลอดช่องสุนัขกันหมดแล้วแท้ๆ แต่ทั้งสามกับยังคงยืนแน่นิ่งราวกับไม่เกี่ยวข้อง
“ถ้าชอบนักทำไมพวกเจ้าไม่ทำเองล่ะ?” หลิงฮันยิ้มและกล่าว
“จงมาต่อแถวคลานลอดช่องสุนัขซะ!” ศิษย์พี่คำราม
“หรือพวกเจ้าคิดจะฝ่าฝืนวัฒนธรรมลอดช่องสุนัข?” ศิษย์พี่คนอื่นๆกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง การที่ได้เห็นราชาเหล่านี้ได้รับความอัปยศทำให้จิตใจของพวกเขาผล่อยคลายอย่างน่าอัศจรรย์ นี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ‘วัฒนธรรม’ เช่นนี้ถึงยังคงมีมาจากรุ่นสู่รุ่น
“ไม่ใช่ว่าพวกข้าจะฝ่าฝืนเสียหน่อย ก็แค่อยากให้พวกศิษย์พี่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างก่อนก็เท่านั้นเอง เพราะอย่างไรพวกเจ้าก็มีประสบการณ์มาก่อนแล้วไม่ใช่รึไง” หลิงฮันยิ้มโดยไม่แสดงท่าทีหงุดหงิดใดๆ
ฮึ่ม!
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา เหล่าศิษย์พี่ก็เกรี้ยวกราดทันที
ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับความอัปยศมาก่อนนั้น เป็นเงามืดฝังลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขา มีเพียงการเป็นฝ่ายสร้างความอัปยศแบบเดียวกันให้กับผู้อื่นเท่านั้นเงามืดนี้ถึงจะถูกชำระล้างหายไป ไม่เช่นนั้นจิตใจของพวกเขาก็จะเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไปตลอดกาล
เจ้ากล้ากล่าวถึงเรื่องนี้ต่อหน้าพวกข้า?
ช่างบังอาจ!
ศิษย์พี่คนหนึ่งก้าวมาด้านหน้าและกล่าว “ทุกครั้งที่มีการนับศิษย์จะมีคนปฏิวัติตลอด ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นพวกเจ้าสามคนสินะ” เขากวาดสายตามองพวกหลิงฮันก่อนที่จะหยุดชะงักที่จักรพรรดิ ปากของเขาอ้าค้างและแววตาแสดงออกถึงความตกตะลึง
สตรีผู้นี้ช่างสง่างามนัก ต่อให้เขาไม่เห็นหน้าของนางก็ยังใจเต้นแรกจนแทบจะออกจากร่างและดวงตาเปิดกว้างจนแทบถลน
“อาจารย์ ให้ข้าจัดการเอง!” จิ่วเยาก้าวเดินออกมา
หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและกล่าว “อืม”
จิ่วเยาว์ได้รับวาสนาจากแผ่นหินสีทอง พลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ถูกยกระดับเป็นระดับดาราขั้นต้นชั้นกลาง ส่วนอีกฝ่ายนั้นต่อให้จะมีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุด แต่หลิงฮันเชื่อว่าด้วยพลังต่อสู้ของจิ่วเยาแล้วไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน
“เข้ามา!” จิ่วเยาเร่าร้วนด้วยเพลิงสู้รบ เขาต้องการเห็นว่าเหล่าลูกศิษย์ของสำนักละอองดาราจะแข็งแกร่งขนาดไหน
“ศิษย์น้อง วันนี้ในฐานะศิษย์พี่ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้เองว่าต่อให้เป็นราชาเหมือนกันก็ยังมีความต่างของพลังอยู่!” ร่างของศิษย์พี่คนนั้นสั่นสะท้านก่อนที่หมอกสีดำได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากเท้าและโอบล้อมทั้งร่างของเขากับจิ่วเยาเอาไว้
นี่คือทักษะที่เขาถนัดที่สุด ภายในหมอกสีดำนี้ ศัตรูจะถูกปิดกั้นการมองเห็นทำให้ไม่สามารถต่อสู้ได้เต็มที่ เปรียบได้กับการลดพลังต่อสู้ของศัตรูไปถึงห้าถึงหกส่วน
‘พรึบ’ ท่ามกลางหมอกสีดำ จู่ๆแสงสีทองอันเจิดจรัสก็สว่างออกมาราวกับดวงตะวัน หมอกสีดำถูกทำให้สลายไปในพริบตาเดียว