Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1483
สองวันต่อมา ศิษย์เก่าร้อยคนของสำนักย่อยที่แปดซึ่งหลิงฮันก็รวมอยู่ในนั้นได้ถูกปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์พาออกเดินทางไปยังสำนักหลักโบราณ
เพียงแค่การประลองของเหล่าศิษย์ใหม่ไม่มีความจำเป็นให้เซียนเป็นคนนำทางด้วยตัวเอง
สำนักหลักโบราณคือสำนักละอองดาราหลักที่ถูกสร้างขึ้นโดยเซียนซิงฉา ต่อมาเมื่อศิษย์ทั้งเก้าของเขาประสบความสำเร็จถึงได้แยกย่อยออกเป็นอีกเก้าสำนักย่อย สำนักหลักโบราณนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามที่จะเปิดให้เข้าได้เฉพาะตอนที่จัดงานที่ยิ่งใหญ่
ศิษย์ส่วนใหญ่จ้องมองมายังหลิงฮันกับจักรพรรดินี ในสำนักย่อยที่แปดนี้มีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นที่ทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์แล้ว
แต่ก็ใช้ว่าศิษย์ทั้งหลายจะตัดใจยอมแพ้ พวกเขามีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับวารีนิรันดร์ หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์เซียนอยู่ในมือซึ่งทำให้พวกเขายังพอเห็นแสงแห่งความหวังอยู่บ้าง
การประลองไม่ได้กำหนดว่าห้ามใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธใดๆที่มีพลังเหนือกว่าระดับพลังของตนเอง เพราะอย่างไรหากเป็นการต่อสู้จริงในโลกภายนอกย่อมไม่สามารถบังคับให้ศัตรูห้ามใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้
เนื่องจากพวกเขาออกเดินทางไว ศิษย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงในสำนักย่อยที่แปดจึงไม่มีโอกาสขัดขวางหลิงฮันและทำได้เพียงรอคอยให้หลิงฮันกลับมา
สำนักย่อยทั้งเก้าใช้เวลาเดินทางไปยังสำนักหลักโบราณราวๆสิบวัน
อาจารย์ที่รับหน้าที่นำทางสำนักย่อยที่แปดคือปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดที่มีชื่อว่าเหวยเชิน ตราบใดที่เซียนไม่ปรากฏตัวเขาคือตัวตนที่ไร้เทียมทานที่สุดและไม่หวาดกลัวต่อสัตว์อสูรใดๆที่จะโจมตีตามเส้นทาง
สิบวันผ่านไปกลุ่มศิษย์ใหม่ทั้งร้อยคนก็มาถึงสำนักหลักโบราณ
มองจากภายนอกสำนักหลักโบราณมีขนาดพื้นที่เล็กกว่าสำนักย่อยที่แปดด้วยซ้ำ แต่นั่นก็เป็นเพราะในตอนแรกเซียนซิงฉาไม่ได้รับศิษย์มากมายเท่าไหร่ แต่ละครั้งที่เปิดรับศิษย์เข้าสำนักเขารับเพียงแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น สำนักหลักโบราณจึงไม่ได้มีขนาดกว้างขวางเท่าใดนัก
แต่ถึงแม้จะบอกว่ามีขนาดเล็กแต่แท้จริงแล้วสำนักหลักโบราณนั้นเปรียบเสมือนเมืองหนึ่งเมืองเลยทีเดียว ประตูทางเข้าถูกเปิดเอาไว้โดยไม่มีใครยืนคุ้มกันแม้แต่คนเดียว
สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามของสำนักละอองดารา ใครจะกล้าลอบเข้าไปสร้างความวุ่นวาย?
เมื่อพวกหลินเข้าไปยังสำนักหลักโบราณก็มีใครบางคนต้อนรับพวกเขาและจัดหาที่พักให้
หลังจากสะสางเรื่องต่างๆเสร็จแล้วทุกคนก็ออกไปเดินเตร็ดเตร่รอบสักนัก หากโชคดีพวกเขาอาจจะพบเจอเซียนซิงฉาและได้รับชี้แนะก็เป็นได้
หลิงฮันออกตามหาจักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆ เพียงแต่ว่าสำนักย่อยที่มาถึงแล้วมีไม่มากเขาจึงพบเจอเพียงแค่สตรีนกอมตะกับติงผิง ทั้งสองคนระบายความไม่พอใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสำนักออกมา
“ข้าจะทวงคืนความแค้นนี้ให้ในภายหลัง!” หลิงฮันปลอบสตรีนกอมตะ ส่วนติงผิงนั้นเขาปล่อยไป หากเรื่องแค่นี้ยังต้องให้เขาสะสางให้อีกฝ่ายจะยังเหมาะสมเป็นศิษย์ของเขาอยู่อีก?
ติงผิงกลายเป็นไร้คำพูด…
ทั้งสองคนตอนนี้บ่มเพาะพลังด้วยทักษะระดับสูงที่หลิงฮันมอบให้ แต่หลังจากที่บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแล้วทักษะนี้จะทำหน้าที่ชี้แนะแนวทางให้เท่านั้นและต้องพึ่งพาความเข้าใจในศาสตร์วรยุทธของตนเองเป็นหลัก
เพียงแต่ว่าในระดับพลังที่ต่ำกว่าระดับสร้างสรรพสิ่ง ทักษะบ่มเพาะระดับสูงนั้นได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด เพราะงั้นแล้วแม้เวลาจะผ่านไปเพียงปีเดียวแต่สตรีนกอมตะกับติงผิงก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก แต่นั่นก็เพราะทรัพยากรที่สำนักมอบให้ก็มีจำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน
หลิงฮันกับสตรีนกอมตะกระหนุงกระหนิงกันราวกับเป็นคู่แต่งงานใหม่ ติงผิงกับจิ่วเยาถูกทิ้งเอาไว้โดยที่ทั้งลองคนจับมือกันเดินเล่นไปรอบๆสำนักหลักโบราณ
“ไปเลย! ไปเลย! ไปเลย!” เสียงของเด็กน้อยดังขึ้น ด้านหน้าพวกเขามีคนสองคนปรากฏตัวใกล้เข้ามา หนึ่งเป็นนชายหนุ่มที่คลานอยู่บนพื้นในขณะที่อีกคนเป็นเด็กน้อยอายุราวๆสี่ถึงห้าปีซึ่งกำลังขี่อยู่บนหลังของชายหนุ่มและตะโกนออกมาอย่างสนุกสนาน
หลิงฮันตกตะลึง ชายหนุ่มที่กำลังคลานสี่ขาคือจอมยุทธระดับดารา ส่วนเด็กน้อยมีพลังระดับทลายมิติ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนักที่จอมยุทธระดับดารายอมมาเป็นม้าขี่ให้กับเด็กน้อยโดยไม่มีท่าทีเสียใจแม้แต่น้อย
นั่นคงเป็นการละเล่นระหว่างบิดากับบุตรซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเขา หลิงฮันจับมือสตรีนกอมตะและเดินจากไป แต่ทันใดนั้นเด็กน้อยก็ชี้มาที่เขาและกล่าว “ข้าอยากขี่พี่สาวคนนั้น!”
หากคำพูดนี้ไม่ได้ออกมาจากปากเด็กน้อย หลิงฮันคงจะตบหน้าคนพูดไปแล้ว แต่ในเมื่อคนพูดเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาเขาจึงไม่สนใจและทำเป็นไม่ได้ยิน
“ห้ามไป!” เด็กน้อยกล่าวพร้อมกับกระทืบเท้าใส่ ‘ม้า’ เพื่อออกคำสั่งให้อีกฝ่ายหยุดพวกหลิงฮัน
หลิงฮันขมวดคิ้วเล็กน้อย พ่อแม่ของเด็กน้อยคนนี้ไม่เคยสั่งสอนการประพฤติให้ให้เลยรึอย่างไร?
รุ่นเยาว์ที่ทำหน้าที่เป็นหม้ารีบลุกขึ้นยืนและอุ้มเด็กน้อยไว้พร้อมกับพุ่งไปขวางหน้าพวกหลิงฮัน “พวกเจ้าก็ได้ยินคำพูดของนายน้อยหยุนแล้ว เหตุใดยังไม่รีบทำตามอีก?”
หืม? ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่บิดาของเด็กน้อย?
นายน้อยหยุน?
สามารถทำให้จอมยุทธระดับดาราเรียกว่านายน้อยหยุนได้เช่นนี้ เด็กน้อยต้องมีพื้นเพที่ทรงพลังขนาดไหน?
ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นมืดมนและกล่าว “เจ้าจะคลานเป็นวัวเป็นม้าอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่หากสร้างปัญหาให้พวกข้าอย่าคิดว่าข้าจะสุภาพด้วย”
“ข้าอยากขี่ม้า! ข้าอยากขี่ม้า!” เด็กน้อยตะโกนเสียงดังด้วยความเอาแต่ใจ
“ขอรับนายน้อย ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้” ชายหนุ่ยปลอบโยนเด็กน้อยก่อนและมองไปกลับไปยังหลิงฮัน ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความยิ่งยโสราวกับตนเองสูงส่งเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้รึไม่ว่านายน้อยหยุนเป็นใคร?”
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ไม่” แต่ที่เขารู้คือเด็กน้อยคนนี้ต้องมีผู้หนุนหลังที่ไม่ธรรมดาแต่น้อย ไม่เช่นนั้นปรมาจารย์ระดับดาราจะยอมลดตัวลงมาเป็นม้าขี่ได้ให้ได้อย่างไร?
“นายน้อยหยุน…” ชายหนุ่มจงใจหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเซียนซิงฉา!”
พรวด!
หลิงฮันสำลักออกมาและส่งเสียงไอหลายครั้ง เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ในสถานะของเด็กน้อยคนนี้แต่เป็นเรื่องที่ว่าเซียนซิงฉาที่อายุเยอะขนาดนั้นแล้วเป็นไปได้ด้วยรึที่จะมีบุตรอายุน้อยขนาดนี้
ไม่น่าเชื่อว่าเซียนซิงฉาที่แก่เฒ่าขนาดนั้นแล้วจะยังแข็งแรงอยู่