Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1710 การมาถึงของเมืองร้อยมหาอำนาจ
การที่หยวนซิ่งผิงยอมแพ้แบบนี้ ส่งผลให้ผู้ชมส่งเสียงเอะอะ
หรือนี่จะเป็นการล้มมวย?
เหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงไม่คิดเช่นนั้นเนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลิงฮันและจ่างซุนเหลียงมีพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน
เมืองธุลีจันรทรานั้นไร้คู่ต่อสู้อย่างสมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเปียนเจ๋อและอัจฉริยะคนอื่นๆที่เข้าร่วมงานเลี้ยงบนเกาะเมฆาเซียนพบเจอหลิงฮัน พวกเขาจะรีบเป็นฝ่ายเอ่ยขอยอมแพ้ด้วยตนเองทันทีโดยที่ไม่แม้แต่จะลองสู้ก่อน
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้พวกเม่าซูอวี่รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก พวกนางเข้ารอบมาถึงการประลองช่วงสุดท้ายแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ปะทะอย่างดุเดือดเลยสักครั้ง
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก
แม้จะสับสนแต่พวกนางก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน นั่นเพราะตราบใดที่เอาชนะการประลองรอบสุดท้ายได้ พวกนางก็จะได้เป็นผู้ชนะ!
ผู้ชนะ!
ครั้งสุดท้ายที่เมืองธุลีจันรทราเป็นผู้ชนะคือเมื่อปีที่เม่าไต้เป็นตัวแทน แต่เมื่อครั้งนั้นเม่าไต้ต้องพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากมายและพยายามอย่างสุดความสามารถกว่าจะคว้าชัยมาครอง ผิดกับครั้งนี้ที่คู่ต่อสู้ที่ทรงพลังเป็นฝ่ายขอยอมแพ้ทันทีทั้งๆที่ยังไม่ทันได้สู้
เหล่าผู้ชมที่เดิมพันเงินจำนวนมหาศาลไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เห็นชัดๆเลยว่าแต่ละกลุ่มกำลังล้มมวยอยู่
พวกเขาบุกไปประท้วง ณ ที่ทำการรับเดิมพันจนเหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงต้องออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาะเมฆาเซียนเพื่อทำให้ทุกคนสงบสติอารมณ์
ที่แท้หลิงฮันก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!
คู่ต่อสู้กลุ่มสุดท้ายของพวกหลิงฮันคือเมืองเพลิงฟ้าครามที่นำโดยตันอวี่จิง สตรีผู้นี้เองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่อไม่มีหยวนซิ่งผิงคอยขวางทางกลุ่มของนางจึงฝ่าฟันเอาชนะมาได้จนถึงการประลองสุดท้ายและได้มาพบเจอกับศัตรูที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องรู้สึกสิ้นหวัง
เหล่าตัวตนระดับสูงหลายคนปรากฏตัวเมื่อการประลองมาถึงช่วงสิ้นสุด รัชทายาทอย่างจ่างซุนเหลียงเองก็ปรากฏตัวด้วยเช่นกัน บางทีเขาอาจจะมาเพื่อเป็นผู้มอบรางวัลชนะเลิศให้หลิงฮันด้วยตนเอง แม้รางวัลจะเป็นเพียงสมบัติเล็กๆน้อยๆอย่างศิลาดวงดาวไม่กี่ก้อน แต่คุณค่าที่แท้จริงของชัยชนะเลิศคือชื่อเสียงของผู้ชนะต่างหาก
สำหรับเหล่าขุมอำนาจภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสงนั้น เมืองจันทราหม่นแสงเปรียบได้ดั่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หากคว้าชัยชนะจากการประลองที่จัดขึ้นในเมืองแห่งนี้ได้ ชื่อเสียงของพวกเขาย่อมโด่งดั่งตระหง่านสูงเสียดฟ้า
ทางด้านตันอวี่จิงนั้นดื้อรั้นและเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ นางทุ่มสุดตัวกับการประลองนัดสุดท้ายนี้
ภายใต้การชี้นำของนาง เหล่าตัวแทนจากเมืองเพลิงฟ้าครามกระหน่ำปลดปล่อยการโจมตีกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ต่อหน้าหลิงฮัน พลังเพียงเท่านี้ไม่อาจนับเป็นอันใดได้ เขาสามารถปัดป้องการโจมตีของทั้งสิบคนได้อย่างง่ายดาย
การประลองนัดสุดท้ายครั้งนี้นับว่ามีความแตกต่างในด้านพลังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจผลการประลองก็เป็นที่ประจักษ์ จ่างซุนเหลียงลุกขึ้นยืนและทำหน้าที่มอบรางวัลให้แก่กลุ่มตัวแทนที่ชนะ
“ฮึ่ม!” จู่ๆเงาของใครบางคนก็ปรากฏตัว ร่างของเงานั้นมีอำนาจแห่งเต๋าปกคลุมไปทั่วร่าง
“อาจารย์!” “ท่านประมุข!” เหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงอุทานออกมา นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานทุกคนต่างคุกเข่าน้อมคารวะ
ร่างที่ปรากฏตัวคือผู้ก่อตั้งนิกายจันทราหม่นแสง ปรมาจารย์ระดับตัดวิญญาณสวรรค์
ประมุขของนิกายจันทราหม่นแสงไม่แยแสผู้ใด เขาจดจ้องไปยังท้องฟ้าด้วยสีหน้ามืดมน
ทุกคนแหงนมองท้องฟ้าตามๆกัน เมื่อเวลาผ่านไปราวๆครึ่งก้านธูป เรือเหาะขนาดใหญ่ก็ได้ลอยเข้ามาใกล้จากทางท้องฟ้า ที่บริเวณหัวเรือมีสัญลักษณ์ธงเจ็ดดาวแขวนเอาไว้
“เมืองร้อยมหาอำนาจ!” ใครบางคนอุทานขึ้นมา
เมืองร้อยมหาอำนาจคือเมืองสองดาวที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ ด้วยการที่เมืองร้อยมหาอำนาจกับเมืองจันทราหม่นแสงมีอำนาจทัดเทียมกัน ทั้งสองเมืองจึงตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ผู้ที่ปกครองเมืองร้อยมหาอำนาจคือตระกูลเซียวแต่เพียงผู้เดียว ผิดกับเมืองจันทราหม่นแสงที่อยู่ภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสง
ที่เมืองร้อยมหาอำนาจขับเคลื่อนเรือเหาะมายังเมืองของพวกเขาเช่นนี้ หรือจะเป็นสัญญาณริเริ่มสงคราม?
‘ตุบ’ ชายชราที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งเต๋ากระโดดลงมาจากเรือเหาะ ที่มือขวาของเขาจับพาร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งลงมาด้วย
ชายชรายิ้มและกล่าว “พี่ชายเถีย เหตุใดต้องทำหน้าโหดเหี้ยมเช่นนั้น?”
“จิ้งจอกเฒ่าตง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮ่าๆ พอดีตระกูลเซียวของข้าได้พบเจอเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดคนหนึ่งเข้า ในระดับพลังเดียวกันเมล็ดพันธุ์ที่ข้าพบเจอผู้นี้ไม่เคยมีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้มาก่อน ข้าเคยได้ยินมาว่ารัชทายาทของนิกายเจ้าเองก็ไม่ได้อ่อนแอ เพราะงั้นจึงได้มาที่นี่เพื่อขอคำชี้แนะเสียหน่อย” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชื่อของเขาคือเซียวตง หนึ่งในปรมาจารย์ที่ทรงพลังระดับตัดวิญญาณสวรรค์ของตระกูลเซียว
รุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่ด้านข้างชายชราผสานมือคารวะและกล่าว “คารวะผู้อาวุโส ข้าน้อยมีชื่อว่าเซียวเซิ่ง”
ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงกวาดสายตามองรุ่นเยาว์ที่ชื่อเซียวเซิ่งและกล่าว “หนุ่มน้อย เจ้าต้องการท้าประลองจ่างซุนเหลียง?”
“แค่การประลองแลกเปลี่ยนทั่วไปเท่านั้น ผู้อาวุโสโปรดยินยอม” เซียวเซิ่งตอบอย่างสุภาพ แต่ใบหน้าของเขากลับเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มยั่วยุ
“โอ้?” ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงแสดงท่าทีเหยียดหยามเล็กน้อย เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายต้องการท้าประลองจ่างซุนเหลียงเพื่อหวังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงหันไปมองจ่างซุนเหลียงพร้อมกับกล่าว “เหลียงเอ๋อร์ มาประลองกับรุ่นเยาว์ผู้นี้”
“ขอรับท่านประมุข” จ่างซุนเหลียงเอ่ยตอบอย่างสุภาพและก้าวเดินออกมา
เซียวเซิ่งเองก็ก้าวขึ้นหน้าเล็กน้อยเพื่อยืนเผชิญหน้ากับจ่างซุนเหลียง
“สถานการณ์ชักไม่ค่อยดีแล้ว” สีหน้าของหลิงฮันมืดมน แม้เขาจะรู้สึกไม่ชอบหน้าเซียวเซิ่งแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่อ่อนแอไปกว่าจ่างซุนเหลียงเลยก็ว่าได้
สัญชาตญาณบอกเขาแบบนั้น…
หากจ่างซุนเหลียงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ย่อมไม่มีปัญหา แต่ประเด็นคือตอนนี้ดวงวิญญาณของจ่างซุนเหลียงได้รับบาดเจ็บอยู่และไม่สามารถใช้พลังต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ การประลองนี้นับว่าอันตรายต่อตัวของจ่างซุนเหลียงมาก
แต่จักรพรรดินีนั้นตรงกันข้ามกันหลิงฮัน นางไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าจ่างซุนเหลียงจะพ่ายแพ้หรือถูกสังหาร
แต่ในเมื่อหลิงฮันรู้สึกเป็นห่วงจ่างซุนเหลียง นางจึงกวาดสายตามองไปยังเซียวเซิ่งครู่หนึ่งและกล่าว “ชายผู้นั้นไม่อ่อนแอไปกว่าจ่างซุนเหลียง ในสภาพร่างกายตอนนี้คงยากที่จ่างซุนเหลียงจะรับมือกับเขา”
หลิงฮันขมวดคิ้ว การประลองในครั้งนี้ไม่อาจหยุดกลางคันได้เนื่องจากมันไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างจ่างซุนเหลียงกับเซียวเซิ่งเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นตัวตัดสินชื่อเสียงของขุมอำนาจทั้งสองในอนาคตอีกด้วย
ที่อาจเป็นแบบนั้นก็เพราะทั้งสองคนคือผู้สืบทอดที่จะกลายเป็นผู้นำของขุมอำนาจฝั่งตนเองในอนาคต ฝ่ายใดที่แพ้ในการประลองย่อมทำให้ชื่อเสียงของขุมอำนาจฝั่งตนเองได้รับผลกระทบ