Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1714 ข้าชื่อติงเซี่ยวเฉิน
ด้วยบาดแผลที่เกิดจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานหรือระดับแบ่งแยกวิญญาณก็ยังยากที่จะฟื้นฟูตนเองได้ หากผลีผลามฝืนขับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ออกมาก็มีแต่จะทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่าเดิม
หลิงฮันที่คว้ามือไปจับคมมีดเปลวพลิงนับว่าเป็นการแส่หาความตายอย่างแท้จริง
ต่อให้ตนเองจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สมควรดูถูกเซียวเซิ่นขนาดนั้น
แต่ทว่าภาพที่จ่างซุนเหลียงเห็นหลังจากหลิงฮันคว้าจับคมมีดเปลวเพลิงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด อีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดและยกฝ่าเท้าถีบเข้าที่หน้าอกของเซียวเซิ่นอย่างรุนแรง ‘ปัง’ ร่างของเซียวเซิ่นถูกส่งลอยกระเด็นกลับไปหาจักรพรรดินีอีกครั้ง
นี่มันอะไรกัน! จ่างซุนเหลียงอ้าปากค้างไร้คำพูด
บริเวณฝ่ามือที่หลิงฮันใช้คว้าจับคมมีดเปลวเพลิงนั้นไม่มีร่องรอยบาดแผลปรากฏให้เห็นเลย แม้แต่รอยขีดข่วนก็ไม่มีแม้แต่รอยเดียว
เจ้ามันสัตว์ประหลาด!
“น่าแปลก การโจมตีของหลิงฮันนั้นไม่ซับซ้อนและสามารถมองออกอย่างชัดเจนแท้ๆ แต่เหตุใดเซียวเซิ่นถึงไม่สามารถป้องกันได้? เท่าที่เห็นเขาตอบโต้ไม่ทันเสียด้วยซ้ำ”
“นั่นสิ หากเปลี่ยนให้ข้าเป็นคนรับการโจมตีล่ะก็ อย่างน้อยข้าก็ไม่น่าจะถูกซัดอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ตอบโต้เลยเช่นนั้น”
“บางทีเขาอาจจะหวาดกลัวหลิงฮันจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็เป็นได้”
“อืม ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!”
เหล่าผู้ชมรู้สึกมึนงงก่อนจะสรุปกันเอาเอง เพียงแต่ว่าเหล่าปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานนั้นกลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป
“เพราะเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงและเรียบง่าย คนนอกจึงรู้สึกว่าการโจมตีของเขาเชื่องช้า”
เหล่าปรมาจารย์เผยสีหน้าตกตะลึง พลังต่อสู้ของหลิงฮันทำให้พวกเขารู้สึกขนลุก
แม้การโจมตีของหลิงฮันจะดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ซึ่งดูเหมือนใครก็สามารถปัดป้องได้ทัน แต่ในความเป็นจริงนั้นหากปฏิกิริยาตอบโต้ของเซียวเซิ่นไม่เร็วกว่านี้อีกสิบเท่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะปัดป้องการโจมตีของหลิงฮันได้
นั่นเพราะแท้จริงแล้วการโจมตีของหลิงฮันรวดเร็วเป็นอย่างมาก เปรียบแล้วก็เหมือนกับอัสนีบาตที่แม้จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนแต่ก็ไม่สามารถจับต้องทัน
เหล่าปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานนั้น แม้พวกเขามีความเร็วที่เหนือกว่าหลิงฮัน แต่หากให้ลดระดับไปสู้ในระดับเดียวกัน พวกเขาก็คงทำได้เพียงถูกอีกฝ่ายทุบตีอย่างไม่อาจตอบโต้
ความแข็งแกร่งของรุ่นเยาว์ผู้นี้ช่างท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง!
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ หลังจากถูกซัดลอยกลับไปหาจักรพรรดินี เซียวเซิ่นก็ทำการแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับจักรพรรดินีสิบกว่ากระบวนท่าก่อนจะถูกซัดกลับไปหาหลิงฮันอีกครั้ง แต่เมื่ออยู่หน้าหลิงฮันแล้ว ไม่ว่าหลิงฮันจะปล่อยหมัดหรือฝ่ามือที่เรียบง่ายเพียงใด เขาก็จะถูกอีกฝ่ายซัดลอยกระเด็นด้วยหนึ่งกระบวนท่าตลอด
ความแตกต่างของพลังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงเผยรอยยิ้ม แม้การประลองก่อนหน้านี้จะทำให้จ่างซุนเหลียงบาดเจ็บสาหัส แต่สภาพของเซียวเซิ่นในตอนนี้สาหัสและน่าอนาถยิ่งกว่ามาก การถูกโยนไปมาเหมือนลูกบอลเช่นนี้นอกจากบาดเจ็บแล้วยังอัปยศอย่างมากอีกด้วย
ใบหน้าของเซียวตงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง แววตาเผยถึงความเกรี้ยวกราดราวกับเปลวเพลิงจะปะทุออกมา ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะกลับกลายมาเป็นแบบนี้…
เซียวเซิ่นถูกคนสองคนทุบตีอย่างไม่อาจตอบโต้ได้โดยสิ้นเชิง
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เขาแทบจะหักห้ามใจไม่ให้ลงมือไม่ไหว นิกายจันทราหม่นแสงมีราชาแห่งยุคอยู่ถึงสามคน หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ ในอนาคตภายภาคหน้าขุมอำนาจสองดาวขุมอำนาจไหนจะเป็นคู่ต่อสู้ให้นิกายจันทราหม่นแสงได้?
“ฮ่าๆ เฒ่าตง เจ้าคิดจะทำอะไร?” ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงกล่าวด้วยรอยยิ้มเพื่อกล่าวเตือนไม่ให้เซียวตงทำอะไรสิ้นคิด
หากอีกฝ่ายคิดจะลงมือก็ต้องผ่านเขาไปก่อน
พวกเขาทั้งสองเคยประลองกันมาหลายครั้งแล้ว แน่นอนว่าประมุขนิกายจันทราหม่นแสงย่อมไม่หวาดกลัว
เซียวตงจ้องมองไปยังประมุขนิกายจันทราหม่นแสงก่อนจะระงับอารมณ์ของตนเองเอาไว้ และในเมื่อเซียงเซิ่นยังไม่กล่าวขอยอมแพ้ในการประลอง เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้และปล่อยให้การประลองดำเนินต่อไป
แต่ว่านี่คือการประลองจริงๆรึ?
กับจักรพรรดินีนั้นเซียวเซิ่นอาจจะสามารถตอบโต้ได้อยู่บ้าง แต่พอเผชิญหน้ากับหลิงฮันเมื่อไหร่เขาจะเป็นฝ่ายถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่อาจตอบโต้จนสะบักสะบอมไปทั่วร่าง
“ข้าไม่อยากเล่นแล้ว” จักรพรรดินีกล่าวกับหลิงฮัน
หลิงฮันพยักหน้า หากภรรยาของเขาไม่อยากเล่นต่อเขาก็ไม่คิดจะฝืนใจนาง
เขายื่นมือออกไปคว้าร่างเซียวเซิ่นเอาไว้ พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในอนาคตเจ้าควรเรียนรู้วิธีถ่อมตนเข้าไว้”
หลิงฮันโยนร่างของอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่แยแส ร่างของเซียวเซิ่นไถลเป็นรอยตามพื้นดินก่อนจะไปหยุดที่ด้านหน้าเซียวตง
นี่คือการยุแหย่อย่างโจ่งแจ้ง!
ความจริงหลิงฮันก็ไม่ได้ต้องการบาดหมางกับปรมาจารย์ในระดับแบ่งแยกวิญญาณ แต่ในเมื่อเขาทำให้เซียวเซิ่นอัปยศต่อหน้าสาธารณชนขนาดนี้ เขากับตระกูลเซียวคงไม่อาจหลีกเลี่ยงความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันได้อีกต่อไป และในเมื่อต้องเป็นศัตรูกันอยู่แล้วเหตุใดเขาต้องสุภาพกับเซียวตงด้วย?
“รุ่นเยาว์ เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” เซียวตงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยล้านปีเช่นเขา ย่อมควบคุมจิตสังหารและอารมณ์ได้เป็นเรื่องธรรมดา
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แซ่ติง นามเซี่ยวเฉิน”
พรวด!
ติงเซี่ยวเฉินที่กำลังมองดูสถานการณ์อยู่สำลักออกมาทันที
เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้!
เขาอยากมีชื่อเสียงและเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งในหมู่รุ่นเยาว์แห่งยุคก็จริง แต่ไม่ใช่แบบนี้
หืม… เหตุใดความรู้สึกนี้มันถึงคุ้นๆกัน?
เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตระกูลหานได้มาที่ตระกูลติงโดยอ้างว่าสมาชิกตระกูลติงของพวกเขาได้ไปล่วงเกินตระกูลหานที่โลกบรรพกาล สมาชิกตระกูลติงคนที่ว่าทำการสังหารคนของตระกูลหานจนเหลือเพียงดวงวิญญาณ
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือตระกูลติงนั้นไม่สามารถส่งจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งไปยังโลกบรรพกาลได้เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือของตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ
หรือเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกับหลิงฮัน?
ไม่น่าเป็นไปได้… ติงเซี่ยวเฉินส่ายหัวทันที เขาคงคิดมากเกินไป
เขารีบตะโกนออกมาเสียงดัง “ทะ ท่านผู้อาวุโส! คนที่ชื่อติงเซี่ยวเฉินคือผู้เยาว์ ส่วนหมอนั่นมีชื่อว่าหลิงฮัน! ผู้อาวุโสอย่าได้ถูกหลอก!” เขาไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายของขุมอำนาจระดับแบ่งแยกวิญญาณ
เมื่อได้ยินเช่นนี้เหล่าผู้คนโดยรอยก็เผยสีหน้าเหยียดหยาม
ณ เวลานี้นิกายจันทราหม่นแสงกับตระกูลเซียวกำลังมีความบาดหมางกันอยู่ ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นเจ้ายอมลดศักดิ์ศรีของตนเองไปเรียกอีกฝ่ายว่าท่านผู้อาวุโสได้อย่างไร!
แต่สำหรับติงเซี่ยวเฉินเขาไม่คิดว่าตนเองทำผิดอะไร หรือจะให้เขาตะโกนเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เฒ่าชรา’ รึยังไง?