Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1791 ยุยง
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดว่าหลิงฮันจะเป็นราชาในหมู่ราชา เพราะไม่มีใครทำใจยอมรับได้
พวกเขาที่เป็นถึงรัชทายาทของขุมอำนาจสามดาว ยังบรรลุได้เพียงการตัดผ่านนิพพานที่สมบูรณ์ เพราะงั้นมีรึที่จอมยุทธบ้านนอกจากขุมอำนาจภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่จะบรรลุการตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้
ถึงแม้พวกเขาจะตกตะลึงในพลังต่อสู้ของหลิงฮัน แต่พวกเขาก็สรรหาเหตุผลต่างๆขึ้นมาเอง อย่างเช่นหลิงฮันอาจจะกินเม็ดยาต้องห้ามเข้าไป อาจจะยืมพลังจากอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ หรืออาจจะใช้ยันต์อาคมระดับนิรันดร์เสริมพลังต่อสู้ให้กับตนเอง
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาได้เห็นพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวของลั่วจ่างเฟิงล่ะก็ พวกเขาคงไม่นึกว่าการตัดขาดสวรรค์และปฐพีสามารถทำได้จริงๆ
เนื่องจากลั่วจ่างเฟิงเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจห้าดาว ทุกคนจึงสามารถทำใจยอมรับการตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้ และเริ่มมองย้อนกลับไปยังหลิงฮันว่าบางทีชายหนุ่มผู้นี้ ก็อาจจะตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จเช่นกัน
เพียงแต่ถ้าหากให้พวกเขาเดิมพันว่าหลิงฮันกับลั่วจ่างเฟิงนั้น ใครกันที่แข็งแกร่งกว่าล่ะก็ แน่นอนว่าทุกคนย่อมเดิมพันไปยังลั่วจ่างเฟิง
ทำไมน่ะรึ?
เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นเพราะลั่วจ่างเฟิงคือผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!
ทักษะระดับนิรันดร์ที่ลั่วจ่างเฟิงฝึกฝนมา จะนำไปเทียบกับทักษะของหลิงฮันได้อย่างไร?
แม้แต่ธิดาโร๋วที่คิดว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์มากกว่า เพราะสามารถแก้ไขทักษะโบราณให้นางได้ ก็ยังคิดเหมือนกันว่าหากเป็นการต่อสู้ระดับเดียวกันล่ะก็ ลั่วจ่างเฟิงย่อมเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า
บางทีคงมีเพียงจื่อเหอปิงอวิ๋นเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้กับลั่วจ่างเฟิงได้ เนื่องจากนางเองก็เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาระดับราชานิรันดร์เช่นกัน
ลั่วจ่างเฟิงและเป่ยหยิ่วย้งปะทะกันอย่างดุเดือด ฝ่ายหนึ่งมีข้อได้เปรียบเรื่องพลังบ่มเพาะที่สูงกว่า ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นราชาในหมู่ราชาที่บรรลุนิรันดร์ด้วยการตัดขาดสวรรค์และปฐพี การต่อสู้ของทั้งสองนั้นยากมากที่จะรับรู้ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเหนือกว่า
แต่หลังจากที่การปะทะดำเนินไปราวๆครึ่งก้านธูป จู่ๆพลังต่อสู้ของลั่วจ่างเฟิงก็ทรงพลังยิ่งขึ้น
เขาใช้อำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์แล้ว!
คิดว่าทำไมลั่วจ่างเฟิงถึงได้เป็นผู้สืบทอดของตำหนักเมฆาอัสนีกัน?
นั่นก็เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับกายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์ ซึ่งเหมาะสมกับทักษะบ่มเพาะของตำหนักเมฆาอัสนีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าทักษะของตำหนักเมฆาอัสนีทักษะใดที่เขาฝึกฝน พลังของทักษะก็จะทรงพลังยิ่งกว่าใคร
“เทพอัสนีแผ่ไพศาล!” ลั่วจ่างเฟิงคำราม ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายร้อยเท่า คลื่นอัสนีสีม่วงพรั่งพรูออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุดและโอบล้อมไปทั่วร่างกายของเขา
ลั่วจ่างเฟิงกางนิ้วออกมาและทิ่มทะลวงเข้าใส่เป่ยหยิ่วย้ง
เป่ยหยิ่วย้งตกตะลึงและไม่มีเวลาให้หลบหลีก เขากระตุ้นอำนาจของสายเลือดอีกาโลหิตอย่างเต็มพลัง คลื่นแสงสีแดงฉานราวกับโลหิตทะลักออกมาจากร่างของเขา และแปรเปลี่ยนกลายเป็นหอกโลหิตพุ่งตอบโต้การโจมตีของลั่วจ่างเฟิง
ตูม!
เมื่อการโจมตีเข้าปะทะกัน เป่ยหยิ่วย้งก็กระอักโลหิตออกมา ร่างของเขาถูกส่งลอยกระเด็นไปไกลกว่าร้อยไมล์ สีหน้าของเขาในตอนนี้ซีดขาวราวกับกระดาษ
สีหน้าของลั่วจ่างเฟิงก็ซีดเผือด เนื่องจากถูกหอกโลหิตทิ่มแทงเข้าใส่หน้าอก แต่เพราะร่างกายมหึมาของเขาเกิดจากอำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์ ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และอย่างน้อยสภาพก็ยังดูดีกว่าเป่ยหยิ่วย้ง
“ฮ่าๆๆ การประลองครั้งนี้เอาเป็นว่าเสมอกันก็แล้วกัน” ลั่วจ่างเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม และทะยานร่างกลับไปยังดาดฟ้าเรือด้วยท่าทางสงบนิ่ง
สำหรับเขา การที่ได้แสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองสามารถสู้ข้ามระดับกับราชาแห่งยุคได้ถึงขนาดนี้ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
“นายน้อยจ่างเฟิงช่างถ่อมตัวนัก ข้าคิดว่าการประลองครั้งนี้ ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายแพ้!” เป่ยหยิ่วย้งเองก็ทะยานร่างกลับมาที่ดาดฟ้าเรือ ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม ต่อให้เขาจะหยิ่งยโสเพราะเป็นราชาแห่งยุค แต่เขาก็เคารพคนที่แข็งแกร่ง
คนอื่นๆเองก็พยักหน้าเห็นด้วยและแสดงสีหน้าเคารพต่อลั่วจ่างเฟิง แม้แต่ธิดาโร๋วเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
‘พรึบ’ ทันใดนั้นเอง จู่ๆร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอย่างไม่ให้ซุ้มให้เสียง ร่างที่ว่าคือหลิงฮัน ใบหน้าของเขาในตอนนี้ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ เนื่องจากเพิ่งจะเก็บแร่โลหะกึ่งนิรันดร์ที่เป็นของเดิมพันใส่เข้าไปในหอคอยทมิฬ
“หลิงฮัน!” เมื่อทุกคนเห็นการปรากฏตัวของหลิงฮัน พวกเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีการประลองอยู่อีกคู่หนึ่ง ทุกคนรีบหันไปจ้องมองภายในแผ่นกระดานอย่างเร่งรีบ และพบเห็นเชียนจ้าวหยวนกำลังนอนแน่นิ่งอย่างหมดสภาพ ร่างครึ่งหนึ่งของเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งถูกแผดเผาจนไหม้เกรียม
หลิงฮันฉวยโอกาสในตอนที่ความสนใจของทุกคนพุ่งเป้าไปยังเป่ยหยิ่วย้งกับลั่วจ่างเฟิง ปลดปล่อยพลังของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีหยินเร้นลับออกมาเพื่อจัดการเชียนจ้าวหยวน
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเชียนจ้าวหยวนแพร่พรายความไพ่ลับของเขา เพราะกว่าอีกฝ่ายจะฟื้นขึ้นมาได้ก็คงใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี
เป้าหมายของหลิงฮันคือดินแห่งเซียนฝั่งตะวันตก เขาจึงไม่คิดจะอาศัยอยู่ทีนี่เป็นเวลานาน เพราะงั้นต่อให้คนอื่นๆจะล่วงรู้ว่าเขาสามารถใช้งานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิง และอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีได้อย่างทรงพลัง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกกังวล
หลิงฮันจ้องมองไปยังลั่วจ่างเฟิง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะประลองอยู่ในแผ่นกระดาน แต่ความสามารถในการมองเห็นและได้ยินก็ไม่ได้ตัดขาดกับโลกภายนอก
เพราะงั้นเขาจึงรับรู้ถึงการปรากฏตัวของลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋น
“สามี เจ้าต้องรีบนำนางมาครอบครองให้เร็วที่สุด!” จักรพรรดินีก้าวเข้ามาหาหลิงฮัน
หืม?
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและกล่าว “นี่เจ้ายังไม่ล้มเลิกความคิดนั้นอีกรึ?”
“มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่บุรุษผู้นั้นจะเป็นศัตรูแย่งชิงสตรีไปจากเจ้า!” จักรพรรดินีมองไปยังลั่วจ่างเฟิงและกล่าวต่อ “หากเจ้าปล่อยให้เขาได้กายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรไป พลังบ่มเพาะของเขาจะทิ้งห่างกับเจ้าไปอย่างรวดเร็ว”
เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ในระดับเดียวกันหลิงฮันจะแข็งแกร่งกว่าลั่วจ่างเฟิง แต่หากลั่วจ่างเฟิงมีพลังบ่มเพาะที่สูงกว่า อีกฝ่ายก็สามารถสังหารหลิงฮันได้เพียงนิ้วเดียว
“ถูกแล้ว!” จู่ๆหอคอยน้อยก็เอ่ยแทรกร่วมสนทนา “ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์จะต้องมีสมบัติที่สามารถเร่งเวลาบ่มเพาะอยู่แน่ๆ ต่อให้สมบัติที่ว่าจะไม่สามารถเทียบเท่าต้นสังสารวัฏ แต่มันก็ลดความเสียเปรียบที่มีต่อเจ้าลงไปได้หลายเท่า”