Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1826 ราชาในหมู่ราชาร่วมมือกัน
คราวนี้ สีหน้าของลั่วจ่างเฟิงได้เปลี่ยนไปและกลายเป็นไร้คำพูดอย่างแท้จริง
ขนาดเขาใช้อำนาจของราชานิรันดร์ก็ยังไม่สามารถกำราบหลิงฮันได้
เหลือเชื่อ!
ชายหนุ่มตรงหน้าของเขาผู้นี้ จะต้องเป็นผู้สืบทอดของราชานิรันดร์ หรือไม่ก็ได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่มาเป็นแน่ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางที่จะต้านทานอำนาจราชานิรันดร์จากเกราะแขนของเขาได้
ดวงตาของลั่วจ่างเฟิงส่องประกาย ถ้าหากเป็นอย่างหลังและเขาช่วงชิงวาสนามาจากอีกฝ่ายได้ล่ะก็ บางทีเขาก็อาจจะมีความหวังที่จะบรรลุระดับราชานิรันดร์สำเร็จก็เป็นได้!
คิดว่าขุมอำนาจอย่างตำหนักเมฆาอัสนีมีผู้สืบทอดมาแล้วกี่คนกัน?
จากยุคสมัยสู่ยุคสมัย หลังจากที่ผู้สืบทอดคนใดบรรลุระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้แล้ว และไม่สามารถทะลวงผ่านระดับราชานิรันดร์ได้ พวกเขาจะไม่ถือว่าเป็นผู้สืบทอดอีกต่อไป ซึ่งไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นมาที่ยุคสมัย ตำหนักเมฆาอัสนีก็ไม่มีราชานิรันดร์คนที่สองปรากฏขึ้นมาเสียที
ลั่วจ่างเฟิงมั่นใจว่า ในอนาคตภาคภาคหน้าเขาจะสามารถบรรลุระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับระดับราชานิรันดร์น่ะรึ? เกรงว่าความหวังที่จะบรรลุเป็นตัวตนระดับนั้นได้คงแทบเท่ากับศูนย์
เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องการหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์มาช่วยทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน
หากบรรลุระดับห้านิพพานได้สำเร็จ เขาจะก็สามารถกลายเป็นตัวตนระดับราชานิรันดณ์ได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่านอกจากหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์แล้ว ก็ยังมีสมบัติประเภทอื่นที่สามารถช่วยให้บรรลุเป็นราชานิรันดร์ได้อยู่อีก ยกตัวอย่างเช่น อำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี!
เขาจ้องมองไปยังอำนาจที่อยู่บนมือของหลิงฮันทั้งสองข้างด้วยจิตใจที่สั่นสะท้านและกล่าว “เจ้าเป็นผู้ครอบครองอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีสินะ?”
หลิงฮันเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย อีกฝ่ายสามารถมองพลังของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับออกด้วยรึ?
เมื่อเห็นท่าทางของหลิงฮัน ลั่วจ่างเฟิงก็มั่นใจทันทีว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง
หลิงฮันยื่นมือขวาออกไปด้านข้าง ในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไป ‘พรึบ’ ที่มือข้างขวาของเขา เปลวเพลิงที่อัดแน่นไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าอันร้อนระอุได้ปรากฎออกมา “นี่คือเพลิงเก้าสวรรค์” ‘พรึบ’ แขนซ้ายถูกยื่นออกไปตามๆกัน โดยที่ครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏออกมาคือ วารีที่กัดกร่อนชั้นบรรยากาศด้วยความเย็นยะเยือก “ส่วนนี่คือวารีพลังหยินเร้นลับ”
บ้าไปแล้ว!
ลั่วจ่างเฟิงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีนั้น เป็นสมบัติที่ล้ำค่าเพียงใด?
ความหายากของมันนั้นมีมากถึงขนาดที่ว่า แม้แต่ราชานิรันดร์ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอยู่ในครอบครองแท้ๆ แต่จอมยุทธตัวจ้อยอย่างนิรันดร์ระดับสามนิพพาน กลับครอบครองอยู่ถึง
มุมปากของลั่วจ่างเฟิงค่อยๆยกขึ้นก่อนจะหัวเราะลั่น “หลิงฮัน เจ้าช่างเป็นดวงดาวนำโชคของอย่างโดยแท้จริง!”
หลิงฮันเองก็หัวเราะกลับไปและกล่าว “เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดอยู่หรอกนะ ว่าข้าเป็นคนที่นำอำนาจแก่นกำเนิดสวรรค์ทั้งสองนี้ มามอบให้เจ้า?”
“แล้วไม่ใช่รึ?” ลั่วจ่างเฟิงกล่าวอย่างหยิ่งผยอง ทีนี้เขาก็มั่นใจแล้วว่าหลิงฮันจะต้องไม่ใช่ผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์แน่นอน เพราะราชานิรันดร์คนใดจะยอมให้ผู้สืบทอดของตัวเอง ถือครองอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสองชนิด?
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “เจ้านี่ช่างเพ้อฝันจริงๆ!”
“เหอะ แล้วถ้าหากมีข้าอยู่ด้วยล่ะ?” จู่ๆเสียงของจื่อเหอปิงอวิ๋นก็เอ่ยดังขึ้น ก่อนที่ร่างของนางจะค่อยๆลอยเข้ามาใกล้พร้อมกับดาบยาวในมือ
ลั่วจ่างเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นนาง แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เขาพอเข้าใจแล้วว่า ทำไมจื่อเหอปิงอวิ๋นถึงได้บอกเขาเรื่องสมบัติขุนเขา ที่แท้นางก็จงใจคิดจะยืมมือเขามาใช้จัดการหลิงฮันนี่เอง แต่พูดก็พูดแล้ว ในความเป็นจริงนั้น ถึงแม้เขาจะกล่าวคำพูดต่างๆออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่เขาเองก็รู้สึกหวาดกลัวหลิงฮันอยู่เช่นกัน
ถ้าหากมีจื่อเหอปิงอวิ๋นมาร่วมมือด้วย และใช้อำนาจของราชานิรันดร์พร้อมกันล่ะก็ พวกเขาจะต้องกำราบหลิงฮันลงได้อย่างแน่นอน ส่วนอำนาจแก่นกำเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสองนั้น พวกเขาค่อยแบ่งกันทีหลัง
“ข้าต้องการเพลิงเก้าสวรรค์” ลั่วจ่างเฟิงกล่าว
“อืม” จื่อเหอปิงอวิ๋นพยักหน้า ทั้งสองคนตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว
“ลงมือ!”
ลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นปลดปล่อยการโจมตีเข้าใส่หลิงฮันอย่างพร้อมเพรียง ถึงแม้ทั้งสองจะไม่เคยร่วมมือกันมาก่อน แต่พวกเขาก็เข้าใจความสามารถของกันและกันเป็นอย่างดี ทำให้โจมตีผสานกันได้อย่างสมบูรณ์
ตอนนี้หลิงฮันต้องเผชิญหน้ากับราชาในหมู่ราชาถึงสองคน!
จักรพรรดิที่มองดูอยู่ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ถึงแม้นางจะเป็นราชาในหมู่ราชาเหมือนกัน แต่ด้วยพลังบ่มเพาะของนางในตอนนี้ หากนางยื่นมือเข้าไปก็คงเป็นได้แค่ตัวถ่วงของหลิงฮันเท่านั้น
ทางด้านของธิดาโร๋วนั้น นางเตรียมพร้อมกำลังจะยื่นมือเข้าไปช่วย ด้วยพลังระดับสี่นิพพานของนาง คงสามารถพอฝืนสู้กับราชาในหมู่ราชาระดับสามนิพพานได้อยู่บ้าง
เพียงแต่ว่าเมื่อหันไปเห็นว่าจักรพรรดินียังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นางจึงเปลี่ยนมาเป็นรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน
หลิงฮันโจมตีตอบโต้ผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ทั้งสองอย่างไม่หวั่นเกรง เนื่องจากเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับนั้นเป็นแก่นพลังของเขา เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอำนาจพวกมันจะแห้งเหือด
แต่กับจื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงนั้นไม่ใช่ อำนาจที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาคือพลังที่หยิบยืมมาจากตราประทับและสมบัติของราชานิรันดร์ ซึ่งหากใช้ไปนานๆพลังย่อมแห้งเหือดได้ในที่สุด
หลิงฮันเป็นฝ่ายกระหน่ำโจมตีอย่างโหดเหี้ยม ในขณะที่จื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงทำเพียงแค่หลบหลีกไปมา เพราะตั้งใจให้หลิงฮันใช้พลังจนหมดสภาพแล้วค่อยตอบโต้
แต่คิดรึว่าแผนการแบบนั้นจะได้ผล?
“จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวกับลั่วจ่างเฟิง
ลั่วจ่างเฟิงก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน จริงอยู่ที่อำนาจของราชานิรันดร์นั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ใช่พลังของตัวพวกเขาเอง และสามารถถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นได้ ซึ่งแตกต่างจากอำนาจแก่นกำเนิดสวรรค์และปฐพี
เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และรีบกล่าวออกไป “ที่นี่คือเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง!”
จื่อเหอปิงอวิ๋นที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ย่อมเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อได้ในทันที “ตราบใดที่ไม่มีเกราะโลหิตมังกร ต่อให้เป็นตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ ก็ต้องถูกอำนาจเปลวเพลิงของที่นี่บดขยี้!”
ราชาในหมู่ราชาทั้งสองพบวิธีจัดการหลิงฮันในที่สุด โดยที่ทั้งสองคนทำการเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้มาเป็นการทำลายชุดสวมใส่ของหลิงฮันแทน
พวกเจ้า!
หลิงฮันเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน เนื่องจากตัวเขาไม่ได้สวมเกราะโลหิตมังกรเอาไว้
ปัง! ปัง! ปัง!
แต่แน่นอนว่าในหัวของพวกจื่อเหอปิงอวิ๋นย่อมไม่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ ทั้งสองต่างคิดว่าพวกเขาค้นพบวิธีจัดการหลิงฮันได้อยู่หมัดแล้ว และพยายามกระหน่ำโจมตีเสื้อผ้าของหลิงฮันอย่างสุดกำลัง