Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1832 ใครติดนิสัยใคร
สามคน!
หลิงฮันชะงักแน่นิ่งไปเป็นอันดับแรก ก่อนจะเผยท่าทางตื่นเต้น
เจ้าหอคอยบัดซบนี่ ขอบพูดจาปั่นหัวเขาเสียจริง
หลังจากหายตกตะลึง ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา “ไม่ใช่เจ้าบอกว่า หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์สามารถดูดซับได้มากสุดสองคนหรอกรึ?”
“…ถ้าเจ้าคิดว่าสามคนมันมากไปและไม่ต้องการ เจ้าก็โยนมาทิ้งไปสิ!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างฉุนเฉียว
ก็ได้… ข้ายอมแพ้ไม่เถียงกับเจ้าก็ได้
หลิงฮันส่ายหัว และเดินกลับออกจากถ้ำในขณะที่ใช้แขนหนึ่งข้างอุ้มทารกทั้งสองเอไว้
ในความเป็นจริง ทารกเผ่าคนแคระทั้งสองไม่ได้ตัวเล็กเหมือทารกเลยแม้แต่น้อย ขนาดตัวของพวกเขาเรียกได้ว่าเท่ากับคนแคระที่โตเต็มไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่า หลังจากที่พวกเขาเกินมา ร่างกายจะไม่มีการพัฒนาใดๆเลย
“มีวิธีทำให้ทั้งสองคนเติบโตเป็นเหมือนคนทั่วไปรึเปล่า?” หลิงฮันถามหอคอยน้อย
“เจ้านี่ช่างหัวทื่อจริงๆ” หอคอน้อยสบถ “เหตุผลที่เผ่ากูลูมีร่ายกายเตี้ยก็เพราะพวกเขาไม่รู้จักศาสตร์วรยุทธ หากสามารถบ่มเพาะพลังได้ ความสูงของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นเอง”
นั่นไง เจ้าพูดจาหมิ่นข้าอีกแล้ว!
หลิงฮันลูบคางครุ่นคิด เคยมีสักครั้งหรือไม่ที่ในบทสนทนา จะไม่มีคำเหยียดหยามจากหอคอยน้อย?
เท่าจำความได้ดูเหมือนจะไม่มีเลยสักครั้ง ให้ตายเถอะ… เขาไม่เคยพบเห็นสมบัติชิ้นใด ที่ไร้ความเคารพต่อผู้เป็นนายแบบนี้มาก่อนเลย
“เหอะๆ ขอโทษด้วยแล้วกัน” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
หลิงฮันมั่นใจแล้วว่าหอคอยน้อยกับสุนัขตัวดำขะต้องเป็นสหายกันแน่นอน เพราะแม้แต่การพูดด้วยน้ำประชด ทั้งสองก็ยังเหมือนกัน! เขาเริ่มอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า เจ้าของหอคอยสามภพจะต้องเป็นคนแบบไหนกันแน่ ถึงได้สร้างจิตวิญญาณนิสัยเช่นนี้ขึ้นมาได้
หรือบางทีนิสัยของสุนัขตัวดำ ก็อาจจะได้อิทธิพลมาจากคนผู้นั้นก็เป็นได้?
“หืม?” เมื่อเห็นว่าหลิงฮันเดินออกจากถ้ำมาพร้อมกับเด็กสองคน จักรพรรดินีและธิดาโร๋วก็อุทานด้วยความประหลาดใจ
หลิงฮันกล่าวอธิบายให้สตรีทั้งสองคนรับรู้ว่าทารกทั้งสองนี้ คือผู้สืบทอดสุดท้ายของเผ่าคนแคระ
“ไปจากที่นี่กันเถอะ”
ทั้งสามคนย้อนกลับเส้นทางเก่า เมื่อวาสนาอันยิ่งใหญ่ของภูเขาแห่งนี้ถูกครอบครองไปแล้ว อีกไม่นานมันคงกลายเป็นเพียงภูเขาธรรมดาทั่วไป
หลิงฮันอธิบายเกี่ยวกับหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ให้จักรพรรดินีฟัง ส่วนธิดาโร๋วนั้นถึงแม้นางจะลงเรือลำเดียวกับพวกเขามานาน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังไม่แน่นแฟ้นถึงขั้นที่จะยอมแบ่งหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ให้
หลังจากเวลาผ่านหนึ่งวัน พวกเขาก็กลับมาถึงตำหนักเฉียนหลงโดยไม่พบเจออุปสรรคใดๆ ภูเขาไฟขนาดมหึมาปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของพวกเขาอีกครั้ง พร้อมกับหมอกควันที่ลอยฟุ้งไปทั่วอากาศ
ทารกเผ่าคนแคระทั้งสองคนนั้นถูกส่งไปอยู่ในหอคอยทมิฬแล้ว บังเอิญที่ว่าสตรีนกอมตะกำลังเบื่อๆอยู่พอดี นางจึงรับหน้าที่คอยดูแลทารกทั้งสองเป็นการฆ่าเวลาให้
“เรื่องที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะต้องชดใช้คืนแน่นอน!” ธิดาโร๋วกับหลิงฮันด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เนื่องจากบุรุษผู้นี้กล้าเมินเฉยเสน่ห์ของนาง
แต่จะอย่างไรก็ดี นางจำเป็นที่จะต้องแยกทางกับบุรุษผู้นี้เสียตรงนี้
หลิงฮันนั้นเป็นตัวอันตรายเกินไป เขาไม่เพียงสังหารผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไปถึงสองคน แต่ยังปล่อยให้พยานรู้เห็นหนีรอดไปด้วย
หลิงฮันยิ้มและโยนขวดหยกให้แก่นาง
‘ฟุบ’ ธิดาโร๋วรับขวดหยกเอาไว้และเอ่ยถาม “สิ่งนี้คืออะไร?”
“ใบชา” หลิงฮันกล่าวห้วนๆและเดินโอบเอวจักรพรรดินีจากไป
จักรพรรดินีไม่พอใจเล็กน้อย สตรีผู้นั้นคือผู้ครอบครองกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร สิ่งที่อีกฝ่ายสมควรทำคือการมาหลับนอนกับสามีของนางเพื่อยกระดับความเร็วในการบ่มาเพาะแท้ๆ เหตุใดนางจะต้องปล่อยอีกฝ่ายให้ไปเป็นของบุรุษผู้อื่นด้วย?
แต่ในเมื่อหลิงฮันยืนกรานว่าไม่ต้องการ นางก็ไม่อยากขัดกาตัดสินใจของหลิงฮัน เพราะอย่างไรอายุขัยของจอมยุทธก็ยืนยาวอยู่แล้ว เพราะงั้นในอนาคตถึงยังมีโอกาสอยู่อีก ต่อให้เมื่อถึงตอนนั้นธิดาโร๋วแต่งงานไปแล้ว นางก็ยังสามารถลักพาตัวมาได้อยู่ดี
ทางด้านของธิดาโร๋วนั้น นางแทบจะปาขวดหยกกลับมาใส่หัวหลิงฮัน
จริงอยู่ที่หลิงฮันช่วยชีวิตของนางเอาไว้ แต่นางก็ช่วยเขากับจักรพรรดินีในการต่อสู้ด้วยไม่ใช่รึไง? ทั้งๆที่ลงเรือลำเดียวกันแล้วแท้ๆ แต่สิ่งที่หลิงฮันมอบให้นางกลับเป็นแค่ใบชาขวดเดียว
เพียงแต่ว่า เมื่อใดที่นางลองเปิดขวดหยกดู นางจะต้องตกตะลึงในความล้ำค่าของใบชาแน่นอน ถึงแม้ประสิทธิภาพของใบชาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับต้นสังสารวัฏ แต่สำหรับจอมยุทธระดับโลกียนิพพานแล้ว ใบชานี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง
หลิงฮันไม่คิดจะอธิบายใดๆกับธิดาโร๋วและมุ่งหน้าไปยังภูเขาไฟมหึมา ด้วยเพลิงเก้าสวรรค์และทักษะควบคุมเปลวเพลิงของเขา หากไปที่นั่นจะต้องเก็บเกี่ยวศิลาโลหิตมังกรได้จำนวนมากแน่นอน
และเนื่องจากระยะเวลาในการตามหาหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์กินเวลานานเกินไป หลิงฮันและจักรพรรดินีจึงถูกคนอื่นแซงหน้าไปหมดแล้ว โอกาสที่พวกเขาจะได้พบเจอศิลาโลหิตมังกรระหว่างทางนั้นแทบจะเป็นศูนย์
แต่หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว พวกเขามองการไกลกว่านั้น โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ภูเขาไฟที่เป็นต้นกำเนิดศิลาโลหิตมังกร
ธิดาโร๋วเองก็ไม่ได้ทิ้งระยะห่างจากพวกเขาไปไหนไกล เนื่องจากเป้าหมายของนางก็คือภูเขาไฟ
ตัวนางเองก็ฝึกฝนทักษะทักษะควบคุมเปลวเพลิงเช่นกัน เพียงแต่ว่านางนั้นไม่มีหอคอยทมิฬ ที่สามารถเร่งระยะเวลาฝึกฝนได้ด้วยต้นสังสารวัฏ เพราะงั้นในแง่ของความเชี่ยวชาญในการใช้ทักษะเปลวเพลิงนั้น ธิดาโร๋วยังถือว่าห่างชั้นกับหลิงฮันและจักรพรรดินีอยู่มาก
แต่ถึงแม้นางจะไม่สามารถเข้าสู่ส่วนลึกของภูเขาไฟได้เหมือนพวกหลิงฮัน นางก็ยังสามารถไปได้ไกลกว่าคนอื่นๆอยู่ดี
ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาไฟมากเท่าไหร่ อำนาจแห่งเปลวเพลิงก็จะรุนแรงขึ้นเท่านั้น เมื่อไปถึงจุดหนึ่งแล้ว แม้แต่เกราะโลหิตมังกรก็ไม่อาจช่วยคุ้มกันให้ได้
สิบวันต่อ และแล้วพวกเขาก็มาถึงหุบเขาซึ่งเป็นอาณาเขตที่ใกล้ชิดกับภูเขาไฟมากที่สุด หากเดินทางไปไกลกว่านี้ล่ะก็ ต่อให้เป็นเกราะโลหิตมังกรก็ต้องถูกหลอมละลาย
หุบเขาแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากทีเดียว แถมในหมู่พื้นที่ที่จอมยุทธทั่วไปสามารถเหยียบย่ำเข้าถึงได้ หุบเขาแห่งนี้ก็คือสถานที่ที่มีศิลาโลหิตมังกรอยู่มากที่สุด เพราะงั้นจอมยุทธแทบจะทุกคนที่เข้ามาในเขตแดนลี้ลับ จึงปักหลักอยู่ที่นีและตามหาศิลาโลหิตมังกรทุกวัน
เมื่อหลิงฮันกับจักรพรรดินีมาถึงหุบเขา พวกเขาก็พบเห็นผู้คนจำนวนมากพลุกพล่านไปมาราวกับที่นี่คือตลาดสด
ทั้งสองก้าวเข้าสู่หุบเขา และพบเจอกลุ่มคนเจ็ดคนที่เดินออกมาพอดี
“หืม?” ต่างฝ่ายต่างหยุดชะงัก กลุ่มคนทั้งเจ็ดนี้ ห้าคนคือกลุ่มของฟู่เกาหยุนและเหล่าผู้ติดตาม ในขณะที่อีกสางคนคือฟู่เสี่ยวอวิ๋นและซือถูเซี่ยวเจิน