Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1900 การตอบโต้ที่ดุดัน
“อย่าได้ฝัน! ” ลู่จิ้นกระทืบเท้า และชี้นิ้วไปยังปรมาจารย์จื่อเฉิงด้วยท่าทีกระวนกระวาย
ถ้าเกิดเขาถูกขับไล่ออกจากเมืองวิถีโอสถจริงๆ เรื่องนี้จะกลายเป็นตราบาปที่ไม่อาจลบล้างไปชั่วชัวชีวิต และไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขาก็จะกลายเป็นตัวตลก
ปรมาจารย์จื่อเฉิงไม่แยแส ชายชราหันไปมองปรมาจารย์ชิวเย่ และปรมาจารย์เทียนซิน “พวกเจ้าทั้งสองมีความคิดเห็นอย่างไร? ” ใบหน้าของชายชราแสดงออกถึงความเย็นชาอย่างถึงที่สุด
“น้องชายจื่อเฉิง เจ้าคือคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ปกครองของเมืองวิถีโอสถ เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น” ปรมาจารย์ชิวเย่กระดกสุราด้วยท่าทีไม่สนใจ ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่เมืองวิถีโอสถมีนักปรุงยาสี่ดาวอยู่สามคนเหมือนเดิมก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว”
ส่วนปรมาจารย์เทียนซินนั้น สีหน้าของเขานิ่งเฉยเป็นอย่างมาก ด้วยการที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่าง วิธีการคิดก็เลยต่างออกไป เขากล่าว “อืม”
นอกจากการการหลอมเม็ดยานิรันดร์ ที่มีชีวิตเหมือนกับเขาขึ้นมาแล้ว ในโลกนี้ก็แทบจะไม่มีสิ่งใดที่กระตุ้นความสนใจของเขาได้ กับแค่การที่มีนักปรุงยาสี่ดาวลดลงไปคนนึงน่ะรึ? เรื่องแบบนี้เขาไม่คิดจะสนใจเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินบทสนทนาของปรมาจารย์ทั้งสาม มุมปากของทุกคนก็กระตุกอย่างบ้าคลั่ง และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
นักปรุงยาสี่ดาวผู้หนึ่งกำลังจะถูกขับไล่ไปอย่างง่ายดาย ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำนี่น่ะรึ!
“ไสหัวไป! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงชี้นิ้วใส่ลู่จิ้น ครั้งนี้เขาเกรี้ยวกราดอย่างแท้จริง เจ้ากล้ารังแกศิษย์ของข้างั้นรึ? ถ้างั้นข้าก็จะเหยียบย่ำเจ้าให้จมดินและไม่เหลืออนาคต!
“เจ้าจะขับไล่ข้าไม่ได้! ข้าคือนักปรุงยาสี่ดาว! ” ลู่จิ้นคำรามด้วยสีหน้าซีดเผือด “เจ้าใช้อำนาจส่วนรวมในการแก้แค้นความแค้นส่วนตัว! ข้าไม่ยอมรับ! ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด! ”
“เจ้าไม่ยอมรับแล้วยังไง? ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าวอย่างเย้ยหยัน
สถานะของปรมาจารย์จื่อเฉิงในโลกแห่งศาสตร์ปรุงยานั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก อย่างที่เห็นว่าขนาดคนที่เป็นเพียงผู้ช่วยนักปรุงยาของเขา ก็ยังสามารถทำตัวกร่างไปทั่วทั้งเมืองวิถีโอสถได้ โดยไม่เห็นหัวแม้แต่นักปรุงยาสามดาว
ยิ่งกว่านั้นชายชราก็ยังฝึกสอนสร้างศิษย์ ให้บรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวมาแล้วถึงสามคน
เพราะงั้นในโลกแห่งศาสตร์ปรุงยา ปรมาจารย์จื่อเฉิงจึงเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่มั่นคง และหากเพียงมีวาสนาสักเล็กน้อย ไม่แน่ชายชราอาจจะบรรลุเป็นนักปรุงยาห้าดาวก็เป็นได้
“ฮ่าๆ ท่านควรไตร่ตรองด้วยความยุติธรรมจะดีกว่านะ! ” ป้าเยาเอ่ยแทรก ตำหนักเมฆาอัสนีกับลู่จิ้นได้ทำข้อตกลงกับอย่างลับๆ โดยตำหนักเมฆาอัสนีจะช่วยให้ลู่จิ้นมีอำนาจปกครองเมืองวิถีโอสถ ซึ่งในทางกลับกัน เมืองวิถีโอสถก็ต้องส่งมอบเม็ดยาจำนวนมหาศาลมาให้ตำหนักอัสนีทุกๆ ปี
ส่วนเรื่องที่มาสร้างความลำบากให้หลิงฮัน พวกเขาแค่ทำไปสนุกๆ เท่านั้น เพราะอย่างไรกับแค่การกดดันหลิงฮันเล่นๆ นั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรสำหรับพวกเขา
แต่ไม่คาดคิดว่าการที่พวกเขามากดดันหลิงฮันเช่นนี้ จะไปกระตุ้นความเกรี้ยวกราดของปรมาจารย์จื่อเฉิง จนสถานการณ์กลายมาเป็นเช่นนี้
“นักปรุงยาสี่ดาว จะถูกขับไล่เพียงเพราะคำพูดแค่นั้นได้อย่างไร” ป้าเยากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร ถึงได้มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นในที่แห่งนี้? ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงขยับนิ้วไปชี้หน้าป้าเยาแทน พร้อมกับสบถออกมาอย่างเหยียดหยาม
ข้าคือใคร?
ราชาในหมู่นักปรุงยาสี่ดาว! ตามหลักแล้ว สถานะของข้าเทียบเท่าราชานิรันดร์ด้วยซ้ำ
ต่อให้ป้าเยาจะเป็นตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ที่แข็งแกร่ง แต่อีกฝ่ายจะเทียบชั้นกับราชานิรันดร์ได้รึไง?
แน่นอนว่าไม่! เพราะงั้นก็จงหุบปากไปซะ ต่อหน้าข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยปากแทรก!
“เจ้าเองก็ไสหัวไป! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงคำราม
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน อาจารย์ผู้เห็นแก่เงินของเขาก็มีด้านนี้เหมือนกันสินะ
เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงเกรี้ยวกราดแทนเขาเช่นนี้
ใบหน้าของป้าเยาเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ปรมาจารย์จื่อเฉิง ท่านระวังคำพูดหน่อยดีกว่านะ! ”
“ข้าเวลาเจ้าไสหัวไปภายในสามลมหายใจ ไม่ใช่นั่น ข้าจะใช้ทุกวิถีทางทำให้ปรมาจารย์ทั่วยุทธภพไล่ล่าสังหารเจ้า! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าว “หากไม่เชื่อก็ลองดู! ”
พริบตาที่ประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ท่าทีองอาจของป้าเยาก็หายไปทันใด
เขาคือตัวตนไร้เทียมทานในระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ก็จริง แต่ขุมอำนาจราชานิรันดร์นั้น ไม่ได้เพียงตำหนักเมฆาอัสนีเพียงขุมอำนาจเดียว
ขุมอำนาจราชานิรันดร์ขุมอำนาจอื่นเองก็มีผู้สืบทอดในยุคก่อนๆ ที่พลังบ่มเพาะติดค้างอยู่ที่ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้อยู่เช่นกัน
หากนักปรุงยาสี่ดาวไม่ลังเลที่จะใช้ทุกวิถีทาง เพื่อทำให้จอมยุทธที่ทรงพลังเหล่านั้นลงมือล่ะก็ ชีวิตของเขาคงตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
ตำหนักเมฆาอัสนีเป็นเพียงขุมอำนาจราชานิรันดร์ระดับหนึ่ง ในขณะที่ดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกนั้น ยังมีขุมอำนาจราชานิรันดร์ระดับสอง สาม… เจ็ด และแปดอยู่อีก หากจอมยุทธจากขุมอำนาจเหล่านั้นต้องการสังหารเขา มีรึที่จะต้องหวาดกลัวอำนาจของตำหนักเมฆาอัสนี?
“หนึ่ง! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเริ่มนับร้อยหลังด้วยแววตาโหดเหี้ยม
“สอง! ”
ป้าเยาเปลี่ยนสีหน้าและไม่กล้าเสี่ยงกับปรมาจารย์จื่อเฉิง หลังจากเค้นเสียงครั้งหนึ่ง เขาก็ทะยานร่างกลับไปยังเรือเหาะ
ปรมาจารย์มาจื่อเฉิงไม่แม้แต่จะมองตามป้าเยา และหันมากล่าวกับลู่จิ้น “เจ้าเองก็ไสหัวไปได้แล้ว! ”
“ไม่ เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้ ข้าคือนักปรุงยาสี่ดาว! ” ป้าเยาคำรามเสียงดัง
ปรมาจารย์จื่อเฉิงสะบัดแขนเสื้อ “พี่ชายกู่ พี่ชายฉาง พี่ชายจ้าว ขับไล่คนผู้นี้ออกไปซะ! ”
พริบตาหลังจากสิ้นประโยค ตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ทั้งสามก็ปรากฏตัว เมืองวิถีโอสถก็มีจอมยุทธทรงพลังที่ไม่ใช่นักปรุงยาเช่นกัน พวกเขาเหล่านี้มีหน้าที่คุ้มครองเมืองวิถีโอสถ เนื่องจากนักปรุงยาจะใช้วเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนศาสตร์ปรุงยา
“น้องชายลู่ โปรดออกไปด้วย! ” จอมยุทธทรงพลังทั้งสามกล่าวกับลู่จิ้นอย่างไร้อารมณ์
ลู่จิ้นพบว่าตนเองไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว เขากำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกขมขื่น
ก่อนหน้านี้เขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่เลยแท้ๆ แต่เป็นตัวเขาเองที่ได้คืบจะเอาศอก จึงกลายมาอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้
ถึงแม้จะเป็นนักปรุงยาสี่ดาวเหมือนกัน แต่เขารู้ตัวดีว่าตนเองยังห่างชั้นกับปรมาจารย์จื่อเฉิงแค่ไหน
ลู่จิ้นถอนหายใจและหันหลังจากไปด้วยท่าทีหม่นหมอง ซึ่งต่างจากตอนที่ปรากฏตัวอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนรอบข้างตกตะลึง เหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปไวเหลือเกิน
ปรมาจารย์จื่อเฉิงกวาดสายตามองเหล่าผู้สืบทอด ก่อนจะพบเห็นร่างของหลู่เซียนหมิงที่กำลังตัวสั่นสะท้าน จึงได้ประกาศออกมา “หลังจากนี้สามปี การคัดเลือกผู้สืบทอดที่แท้จริง จะยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิม! ”