Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1913 ความทรงจําจากสวรรค์และปฐพี
ตอนที่ 1913 ความทรงจําจากสวรรค์และปฐพี
หลิงฮันมองไปยังซางต๋าที่ลอยกระเด็น พร้อมกับเก็บดาบอสูรนิรันดร์ ตอนนี้เขาไม่คิดจะเสียเวลากับอีกฝ่ายอีกต่อไป และต้องการขึ้นไปยังยอดเขาให้เร็วที่สุด เนื่องจากคนแรกที่ขึ้นไปบนยอดเขาได้ จะเป็นผู้ที่ได้ครอบครองวาสนาอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์และปฐพี
“ไปกันเถอะ”
จักรพรรดินีพยักหน้า ในขณะที่ธิดาโรวทําหน้าตาน่าสงสาร และจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาอ้อนวอน
หลิงฮันถอนหายใจ เขารู้ตัวดีว่าตนเองไม่ควรใกล้ชิดกับธิดาโร๋วมากเกินไป แต่เสน่ห์ของสตรีผู้นี้ก็ช่างมากมาย จนสุดท้ายจิตใจของเขาก็ได้รับผลกระทบ และค่อยๆ ยอมรับในตัวอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาเอื้อมมือออกไปนาร่างของธิดาโร๋วเข้าสู่อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่ใช่หอคอยทมิฬ เนื่องจาก เขายังไม่ได้เชื่อใจนางขนาดนั้น
หลิงฮันมุ่งหน้าต่อ โดยมีจักรพรรดินีเดินเคียงข้าง ผู้คนมากมายมองตามแผ่นหลังของเขา และไล่ตามมาเช่นกัน
ยิ่งไต่ขึ้นสูงเท่าไหร่ แรงกดดันของภูเขาก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น หลิงฮันและจักรพรรดินีเคลื่อนที่ได้ เชื่องช้ามาก เมื่อเทียบกับพวกเอี้ยนเซียนลู่สามคน หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป นอกจากเนื้อจะไม่ได้กินแล้ว แม้แต่ซุปก็คงไม่เหลือมาถึงพวกเขา
แต่จะให้ทําไงได้?
ทั้งสามคนคือนิรันดร์ห้านิพพาน ตัวตนระดับโลกียนิพพานที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าระ ดับแบ่งแยกวิญญาณ
“หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาไม่มีทางไล่ตามทั้งสามคนทันแน่” หลิงฮันหันไปกล่าวกับจักรพรรดินี
จักรพรรดินีพยักหน้า “นอกเสียจากว่าพวกเราจะทะลวงผ่านระดับห้านิพพาน!”
“แรงกดดันที่นี่รุนแรงมาก บางทีพวกเราอาจจะหาโอกาสที่จะทะลวงผ่านเจอก็เป็นได้”
“หากทําได้จริง สิ่งนี้จะถือว่าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สําหรับพวกเรา!”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม
ใช่แล้ว จะยังมีวาสนาใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการทะลวงผ่านระดับห้านิพพานสําเร็จอีก?
หลิงฮันนั้นสามารถต้านทานแรงกดดันของภูเขา ได้สบายกว่าจักรพรรดินี แต่เพื่ออ นาคตของจักรพรรดินีแล้ว เขาจึงไม่คิดจะนําจักรพรรดินีเข้าไปยังหอคอยทมิฬ แต่เลือกที่จะก้าว ผ่านแรงกดดันอันรุนแรงของภูเขา ไปพร้อมกันทีละก้าวแทน
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… หนึ่งเดือน!
พวกเขาเดินไปตามทางของภูเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม จนมองไม่เห็นตีนเขาอีกต่อไป รอบตัวพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยหมู่เมฆที่ลอยไปมา เพียงแต่เมื่อแหงนมองไปยังด้านบน พวกเขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นปลายยอดบนสุดของภูเขาอยู่ดี
หลิงฮันกับจักรพรรดินี้ไม่รู้ว่าพวกอู่เซียนสู่ขึ้นไปถึงยอดภูเขาได้รึยัง แต่แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของที่นี่ ทําให้พวกเขารู้สึกเหมือนกันกําลังปะทะกับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอยู่ตลอดเวลา จนเยื่อผิวหนังภายในร่างกายของพวกเขา เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ห้านิพพาน
พวกเขาเริ่มมองเห็นความหวัง ที่จะบรรลุระดับห้านิพพานอยู่เพียงแค่เอื้อม แต่ไม่ว่าจะยื่น มือออกไปอย่างไร ความหวังที่ว่าก็ดูเหมือนห่างไกล และไม่สามารถแตะต้องได้
“ตอนนี้พวกเขาก็ขัดเกลาตัวเองมามากแล้ว หรือพวกเราควรจะดูดซับหยกต้นกําเนิดวิถีสวรรค์กันเลยดี?” จักรพรรดินี้เอ่ยถาม
หลิงฮันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่พวกเขาจะไม่มีประสบการณ์ในการทะลวงผ่านระดับห้านิพพานด้วยตัวเอง แต่แม้แต่ผู้คนรอบข้างที่รู้จัก ก็ไม่มีใครเลยที่จะไถ่ถามได้
“อย่าเพิ่งดูดซับหยกต้นกําเนิดวิถีสวรรค์ แล้วรอดูไปก่อนดีกว่า” หลิงฮันคิดว่าการทะลวงผ่านระดับห้านิพพานไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
จักรพรรดินีพยักหน้า
เมื่อทั้งสองเดินหน้าต่อไปอีกสักพัก ที่เบื้องหน้าพวกเขา เมฆหมอกก็ค่อยๆ ลอยเข้าหากัน และก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง
ในพื้นที่สูงชันเช่นนี้ การที่จะมีเมฆหมอกอยู่ทุกที่ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกคือเมฆหมอกตรงหน้านี้ค่อยๆ รวมตัวกันจนมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ รูปลักษณ์ของมันค่อยๆ เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่หู ตา จมูก ปากเท่านั้น แม้แต่กล้ามเนื้อและโลหิตเองก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วย
เพียงแค่เวลาหนึ่งลมหายใจ มนุษย์ผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ หากหลิงฮันไม่ เห็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่นี้ เขาคงไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามนุษย์ตรงหน้าผู้นี้ แท้จริงแล้วคือเมฆหมอก
มนุษย์ตรงหน้าคือรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง ที่ศีรษะเต็มไปด้วยเส้นผมสีหน้า และมีกลิ่นอายที่โหดเหี้ยม
เขามีท่าที่หยิ่งทะนง และหากมองเข้าไปในดวงตาให้ดี จะพบว่าส่วนลึกภายในลูกตาดําของ เขา มีรูปทรงเหมือนกับไม้กางเขน
“เผ่าดาบมาร” จักรพรรดินีเอ่ยพรวดขึ้นมา
“อะไรคือเผ่าดาบมารงั้นรึ?” หลิงฮันถาม
“ในความทรงจําจากสายเลือดของข้า มีเรื่องราวของเผ่านี้อยู่” จักรพรรดินีอธิบาย “เผ่าดาบมารเป็นเผ่าที่น่าสะพรึงกลัวมาก ถึงแม้จํานวนคนของพวกเขาจะมีไม่มาก แต่ผู้คนของเผ่านี้ ล้วนแต่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่สูงส่ง มีราชานิรันดร์อยู่มากมาย”
มีราชานิรันดร์อยู่มากมาย!
“คนของเผ่านี้ทุกคนล้วนแต่เชี่ยวชาญให้เพลงดาบ หากทักษะดาบของพวกเขาถูกสะบั้นออกไป ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นตัวตนแบบใด ก็ต้องถูกนั่นออกเป็นสี่ส่วน”
“คนที่อยู่ต่อหน้าพวกเรานี้ สมควรเกิดจากอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ ที่ทรงพลังอย่างหนึ่ง!”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกําลังคุยกัน รุ่นเยาว์ตรงหน้าก็เดินเข้ามาหาหลิงฮันและกล่าว “อี้อู๋ซาง เนื่องจากเจ้าคือคนที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่แปด ของสุดยอดอัจฉริยะแห่งดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออก ข้ากู่เฟยผู้นี้จึงได้มาที่นี่เพื่อขอคําชี้แนะจากเจ้า”
สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน?
หลิงฮันและจักรพรรดินีมองหน้ากัน กู่เฟยผู้นี้กําลังพูดอยู่กับใครกันแน่? อี้อู๋ซางงั้นรึ? พวกเขาทั้งสองไม่มีใครชื่ออี้อู๋ซางเสียหน่อย
“อี้อู๋ซาง เจ้าที่ถูกจัดอยู่ในอันดับแรก ระวังว่าสถานะนี้จะกลายเป็นคําสาป ทําให้เจ้าคิดอยู่ในขั้นพลัง ราชานิรันดร์ระดับแปดไปตลอดกาลล่ะ!” กู่เฟยกล่าวต่อ “เข้ามา ที่เจ้า แทนชื่อตนเองว่าหย่งชางว่านกู่ (อนันต์รุ่งโรจน์) ก็เพราะต้องการหลบหนีจากข้าสินะ!”
จิตใจของหลิงฮันและจักรพรรดินีสั่นสะท้าน
อี้อู๋ซาง คือราชานิรันดร์หย่งชาง!
สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ราชานิรันดร์หย่งชางบรรลุเป็นราชานิรันดร์ บางทีความสําเร็จในอดีตกาล อาจจะเป็นตัวเหนี่ยวนําอํานาจของสวรรค์และปฐพี ทําให้ความทรงจําของเขาถูกจารึกเอาไว้ที่นี่
หลังจากยุคสมัยในตอนนั้นเป็นต้นมา เมื่ออํานาจของสวรรค์และปฐพี่ถูกกระตุ้นในตอนที่ดวงดาวทั้งสามโคจรมาบรรจบกัน ร่างของกู่เฟยจากความทรงจํา ก็จะถูกสร้างขึ้นมาและท้าทายผู้คนที่มุ่งหน้าสู่ยอดเขา
กู่เฟยผู้นี้เป็นตัวตนจากยุคอดีตกาล บางทีตอนนี้เขาอาจจะสิ้นชีพ หรืออาจจะไต่เต้ากลายเป็น ราชานิรันดร์ไปแล้ว แต่ไม่ว่าในตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร กู่เฟยตรงหน้านี้ก็เป็นเพียงร่างที่ถูกสร้างขึ้น จากความทรงจําของอี้อู๋ซาง
“เข้ามา!” กู่เฟยกล่าวเสียงดัง ในขณะที่เขากล่าวประโยคนี้ออกมา กลุ่มเมฆอีกก้อนก็ควบแน่นรวมตัวกัน กลายเป็นมนุษย์อีกร่างหนึ่งที่ไม่ใช่กู่เฟย
“อี้อู๋ซาง ข้าจางหยุนขอท้าประลองเจ้า!”