Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1951 ลงโทษ
ตอนที่ 1951 ลงโทษ
ในห้องรับรองมียังมีคนอยู่อีกสองคน หนึ่งคือจูจื่อจวิน ส่วนอีกคนคือเผิงฮวาเหนียน
เมื่อได้ยินคํากล่าวของปรมาจารย์จูเฟิง จูจื่อจวินก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย “ท่านปู ข้าไม่คิดว่าข้าทําอะไรผิด!”
จูเฟิงคํารามอย่างเกรี้ยวกราด “ตัวบัดซบ ทําเรื่องเนรคุณเช่นนั้นไปแล้ว ยังกล้าบอกว่าไม่ผิดอีกงั้นรึ?”
จูจื่อจวินกัดฟัน “หลานผู้นี้แต่ไม่ต้องการให้ใครมาแสร้งหลอกเป็นศิษย์น้องของท่านปู่ก็เท่านั้น เพราะงั้นหลานไม่คิดว่าตนเองทําผิด!”
“โอ้ ถ้างั้นข้าก็สอนให้เจ้าแอบขโมย และสับเปลี่ยนเม็ดยาของผู้อื่นด้วยงั้นสินะ?” จูเฟิงโมโหจนเส้นผมสีขาวสยาย
เขาคือตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกําเนิดแท้ ออร่าที่ปลดปล่อยออกมาจึงไม่ใช่สิ่งที่จูจื่อจวินจะต้านทานได้ และขาอ่อนร่วงลงไปคุกเข่าทันที
หลิงยันไม่ห้ามปรามใดๆ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยา หรือศาสตร์วรยุทธสูงส่งเพียงใด แต่ถ้าหากจิตใจไม่มุ่งไปยังเส้นทางที่ถูกต้องก็ไร้ความหมาย
หากจูจื่อจวินเป็นศิษย์ของศิษย์ของเขาล่ะก็ เขาคงตัดขาดกับอีกฝ่ายไปแล้ว เพียงแต่จูเฟิงนั้นเป็นเพียงศิษย์พี่ตามลําดับชั้นของเขาเท่านั้น เขาก็ไม่ต้องการแทรกแซงมากเกินไป
จูจื่อจวินใบหน้าซีดเผือด เรื่องอื่นอาจจะแก้ตัวได้ แต่สําหรับเรื่องแอบสับเปลี่ยนเม็ดยานั้น เขาไม่สามารถแก้ตัวได้เลย
พวกหวั่นเฟยกับสือหย่ง ได้สารภาพไปแล้วว่าต้นคิดเรื่องนี้คือเขา เพราะงั้นเขาจึงไม่สามารถคัดค้านได้
“ตัวเจ้านั้นแสดงศักยภาพในศาสตร์ปรุงยามาตั้งแต่เด็ก แต่ดูเหมือนว่าข้าจะคาดหวังในตัวเจ้าเกินไปสินะ ถึงได้ลืมสั่งสอนเรื่องการปฏิบัติตัวให้แก่เจ้า” จูเฟิงส่ายหัวพร้อมกับเผยสีหน้าเศร้าโศก
เขาแน่นิ่งครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้าถูกสั่งห้ามไม่ให้ใช้แซ่จูไปอีกร้อยปี และไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกตนเอง ว่าเป็นนักปรุงยาในวิถีของปรมาจารย์จื่อเฉิง เจ้าจะต้องออกโลกไปฝึกตนในฐานะคนธรรมดา”
“ท่านปู่!” จูจื่อจวินยอมรับไม่ได้ เขาคือทายาทที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้แท้ๆ แต่เหตุใดถึงต้องถูกขับไล่กัน?
ดวงตาของจูเฟิงส่องประกายโหดเหี้ยม และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หรือเจ้าต้องการให้ข้าทําลายพลังบ่มเพาะของเจ้า และขับไล่ออกจากตระกูลไปตลอดกาลกัน?”
จูจื่อจวินใบหน้ากลายเป็นซีดเผือด และรับรู้แล้วว่าปูของเขาเอาจริง จึงทําได้เพียงค่อยๆ คลานพื้น ออกจากห้องรับรองไปอย่างช้าๆ
ในอีกด้านหนึ่ง ร่างของเผิงฮวาเหนียนสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ขนาดหลานอย่างจูจื่อจวินยังมีสภาพเช่นนี้ ศิษย์เช่นเขาจะต้องโดนลงโทษหนักยิ่งกว่าแน่ๆ
“ฮวาเหนียน” แน่นอนว่าหลังจากจัดการจูจื่อจวินเสร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปก็ย่อมต้องเป็นเขา
“ขอรับท่านอาจารย์…” เผิงฮวาเหนียนรีบก้าวออกมาด้านหน้าด้วยความเคารพ
“เจ้าเองก็ทําให้ข้าผิดหวังเช่นกัน” จูเฟิงส่ายหัว
“ศิษย์รู้ตัวดีว่าตนเองผิด แต่กราบขอให้อาจารย์มอบโอกาสให้ศิษย์ปรับปรุงตัวสักครั้ง!” เผิงฮวาเหนียนหวาดกลัวจนคุกเข่าลงกับพื้น
“เจ้าผิดตรงไหนงั้นรึ?” จูเฟิงถาม
เผิงฮวาเหนียนครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะและรีบกล่าว “ก่อนหน้านี้ ศิษย์หยิ่งทะนงในตนเองเกินไปที่คิดว่านักปรุงยาสามดาวนั้นเป็นดั่งปรมาจารย์เหมือนกับอาจารย์แล้ว ศิษย์เลยลืมจุดยืนของตัวเองไป”
จูเฟิงพยักหน้า “สิ่งที่ข้าเจ็บปวดก็คือ ไม่เพียงแค่เจ้าลืมจุดยืนของตนเองเท่านั้น แต่แม้แต่ศิษย์ที่เจ้าสั่งสอนก็ด้วยเช่นกัน”
“ศิษย์ผิดไปแล้ว!” เผิงฮวาเหนียนก้มหัวซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง
“ข้าขอลงโทษให้เจ้าหลอมเม็ดยาหนึ่งพันเตา ในช่วงระยะเวลานั้นเจ้าห้ามออกไปไหนเด็ดขาดและจงตั้งสมาธิอยู่กับศาสตร์ปรุงยาเพียงอย่างเดียว” จูเฟิงกล่าว
“ศิษย์น้อมรับโทษ” เผิงฮวาเหนียนถอนหายใจโล่งอกออกมาในที่สุด ถึงแม้การหลอมเม็ดยาหนึ่งพันเตาจะใช้เวลานาน แต่ก็ยังดีกว่าถูกเนรเทศ
จูเฟิงสะบัดมือสั่งให้เผิงฮวาเหนียนออกไป ก่อนจะหันไปมองหลิงฮันและกล่าว “ข้าให้ศิษย์น้องหลิงเห็นเรื่องน่าอายแล้ว”
“ศิษย์พี่สามใช้เวลาทั้งหมดไปกับศาสตร์ปรุงยา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะละเลยบางเรื่องไปบ้าง” หลิงฮันกล่าว
จูเฟิงหัวเราะ “เลิกพูดเรื่องน่าผิดหวังแบบนี้กันดีกว่า อาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“อาจารย์สบายดี และยังคงหาทางทําเงินอยู่ทุกวัน” หลิงฮันหัวเราะตาม
จูเฟิงอดคิดไม่ได้ว่าช่างสมกับที่เป็นปรมาจารย์จูเฟิง ไม่ว่าสิ่งใดจะอยู่ในมือ อีกฝ่ายก็สามารถคิดหาหนทางทําเงินได้อยู่ตลอด
หลิงฮันพูดคุยกับศิษย์พี่สามอยู่สักพักก่อนจะขอตัวกลับ เนื่องจากเขาคุ้นชินกับการอาศัยอยู่ในที่พักตระกูลโม่แล้ว เขาจึงปฏิเสธคําเชิญให้พักของจูเฟิง อย่างไรก็ตาม อีกสามวันก็จะถึงวันเฉลิมฉลองของจูเฟิงแล้ว หลังจากที่ร่วมแสดงความยินดีเสร็จ เขาก็จะเดินทางไปยังหุบเขาสามบุปผาทันที
เมื่อกลับมาถึงที่พักตระกูลโม่ โม่ซวงก็นําของเดิมพัน ที่ใส่อยู่ในอุปกรณ์มิติหลายชิ้นมาให้เขา
“หืม แล้วฮูหนิวล่ะ?” เนื่องจากไม่เห็นฮูหนิว หลิงฮันจึงเอ่ยถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้นางกลับมาแล้วหนหนึ่ง แต่สตรีที่ตามมาด้วยคะยั้นคะยอจะคุยเรื่องแต่งงานด้วย ฮูหนิวจึงเผ่นหนีออกไปอีกรอบ” สตรีนกอมตะกล่าวด้วยใบหน้านั้นยาก หรือสตรีเดี๋ยวนี้จะเปิดกว้าง จนสามารถแต่งงานกับสตรีด้วยกันได้แล้ว?
หลิงฮันชะงักก่อนจะส่ายหัว ไม่คาดคิดว่าหลิวหานจะลุ่มหลงฮูหนิวจนโงหัวไม่ขึ้นขนาดนี้ แต่พูดก็พูดเถอะ หลิวหานไม่สงสัยเลยรึไงว่าฮูหนิวเป็นสตรี?
เมื่อตกเย็น ในที่สุดฮูหนิวก็กลับมา
“เจ้าทําอย่างไรกับนางงั้นรึ?” หลิงฮันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ฮูหนิ้วบุ้ยปาก “ไม่สนุกสักนิดเลย ข้าจะไม่ทําเรื่องแบบนี้อีกแล้ว” นางคิดว่าถ้าหากแย่งชิงหัวใจของสตรีผู้อื่นมาได้ อีกฝ่ายจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับหลิงฮันอีกต่อไป แต่นางคาดไม่ถึงว่าการถูกไล่ตามเสียเองจะน่ารําคาญขนาดนี้ ทางที่คือติดตามหลิงฮันไปด้วยทุกที่นั่นล่ะดีที่สุด
“เจ้าบอกนางไปยังว่าเจ้าเป็นสตรี?”
“บอกไปแล้ว” ฮูหนิวพยักหน้า
หลิงฮันเองก็พยักหน้าตอบ ในเมื่อฮูหนิวยอมรับไปแล้วว่าตนเองเป็นสตรี หลิวหานก็น่าจะจัดการกับความรู้สึกของตนเองได้ในไม่นาน
ในเวลาไม่กี่วันต่อมา หลิงฮันไม่ทําตัวโดดเด่นอะไร เขานําศิลาดวงดาวทั้งหมดไปแลกเปลี่ยนเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ แต่หลังจากดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืนพวกมันเข้าไป ก็ยังอยู่ห่างจากระดับอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สี่ดาวอยู่เล็กน้อย
ในวันนี้ ในที่สุดก็เป็นวันเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของปรมาจารย์จูเฟิง
เหล่าแขกมากมายได้มารวมตัวกัน ขุมอํานาจระดับข้ามผ่านต้นกําเนิดแท้ได้มีประมุขมาเข้าร่วมงาน ในขณะที่ราชานิรันดร์ผู้หยุนนั้น ได้ส่งหลิวเจี๋ยเป็นตัวแทนของตนเองในการร่วมแสดงความยินดีกับปรมาจารย์จูเฟิง
หลิงฮัน จักรพรรดินี ฮูหนิว สตรีนกอมตะ และธิดาโร่วเข้าร่วมงานด้วยกัน แน่นอนว่าสตรีงามย่อมตกเป็นที่ดึงดูดของทุกคน แต่เนื่องจากวันนี้คือวันสําคัญ จึงไม่มีใครกล้าสร้างปัญหา อย่างมากพวกเขาก็แค่จ้องมองด้วยดวงตาสองข้างเท่านั้น
“นั่นมันอาจารย์ลุงหลิงไม่ใช่รึ?” น้ําเสียงอันประชดประชันดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มผู้หนึ่งได้เดินเข้ามา ดวงตาของเขากวาดมองหลิงฮัน และแสยะยิ้มมุมปากเยาะเย้ย