Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 1974 มหาปราชญ์สวรรค์
ตอนที่ 1974 มหาปราชญ์สวรรค์
หลิงฮันดึงสายตากลับและมองไปยังซูหย่าหรง
ซูหย่าหรงไม่ได้เดินตามไป แต่ส่งสายตาอําลาด้วยความเคารพไปยังจี่อู๋หมิงแทน เมื่อร่างของจี่อู๋หมิงหายไปจากสายตา นางก็เปลี่ยนจากท่านั่งคุกเข่ามานั่งปกติ และความมั่นใจบนใบหน้าที่อัจฉริยะควรมีได้หวนคืนกลับมา
ซูหย่าหรงในตอนนี้ คือซูหย่าหรงที่เป็นซูหย่าหรง
“แม่นางซู จี่อู๋หมิงคือใครกัน?” หลิงฮันถาม
ซูหย่าหรงยิ้มและกล่าว “เจ้าน่าจะเดาได้ เขาคือบุรุษที่วิเศษเป็นอย่างมาก!”
เห็นได้ชัดว่านางปฏิเสธที่จะบอกตัวตนที่แท้จริงของจี่อู๋หมิงแก่เขา
หลิงฮันทําได้เพียงคาดเดา “ราชานิรันดร์ระดับแปดงั้นรึ?” เขากล่าวพร้อมกับสังเกตสีหน้าของซูหย่าหรง และพบเห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายแสดงออกถึงความดูหมิ่น
“ราชานิรันดร์ระดับเก้า!” เขากล่าวด้วยน้ําเสียงมั่นใจ
ซูหย่าหรงไม่กล่าวปฏิเสธ นางเลิกสนใจหลิงฮันและเพ่งสมาธิไปยังแผ่นหินแก่นแท้แห่งเต๋า
ราชานิรันดร์ระดับเก้า…
หลิงฮันกล่าวย้ําในใจ และรู้สึกราวกับถูกพายุถาโถมเข้าใส่
ทําไมราชานิรันดร์ระดับเก้าถึงได้เกิดใหม่กัน? การจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ก็ยากลําบากมากพอแล้ว ยิ่งเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าหากเกิดใหม่แล้ว ไม่สามารถบ่มเพาะพลังกลับไปยังระดับเดิมได้ล่ะจะทําอย่างไร?
ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่า หลังจากเกิดใหม่แล้วจะไม่ถูกสังหารจนสิ้นชีพกลางทาง
ต่อให้เป็นหลิงฮัน เขาก็ยังอยากถามตัวเองเหมือนกันว่า ตัวเขาจะมีความกล้าพอที่จะกลับมาบ่มเพาะพลังใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้งหรือไม่
เมื่อยืนอยู่บนจุดสูงสุดอยู่แล้ว การจะปลิดชีวิตตนเองได้นั้น จําเป็นต้องใช้พลังใจที่ หนักแน่นขนาดไหนกัน?
“หอคอยน้อย ราชานิรันดร์ระดับเก้า คือระดับพลังสูงสุดของดินแดนแห่งเซียนจริงๆ งั้นรึ?” หลิงฮันเอ่ยถาม เขาไม่เชื่อว่าจี่อู๋หมิงจะตัดสินใจกลับมาบ่มเพาะพลังใหม่อีกครั้ง เพียงเพราะต้องการมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ราชานิรันดร์ระดับเก้า
เพราะงั้นความเป็นไปได้จึงมีเพียงอย่างเดียวคือ ราชานิรันดร์ระดับเก้ายังไม่ใช่ระดับพลังสูงสุดของดินแดนแห่งเซียน
หอคอยน้อยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “เหนือราชานิรันดร์ระดับเก้า ยังมีจ้าวแห่งพิภพผู้อยู่เหนือสวรรค์อยู่อีก นั่นคือมหาปราชญ์สวรรค์!”
มหาปราชญ์สวรรค์
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน และนึกถึงเจ้าของหอคอยทมิฬคนก่อนที่หอคอยน้อยเรียกว่า มหาปราชญ์สวรรค์ขึ้นมาทันที
“นั่นเป็นตัวตนแบบใดกัน?” หลิงฮันกล่าวด้วยความอยากรู้ “ถ้าหากราชานิรันดร์ละเก้า อตัวตนที่ยืนเทียบเคียงกับสวรรค์และปฐพี่ล่ะก็…”
“มหาปราชญ์สวรรค์คือตัวตนที่อยู่อํานาจแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถควบคุมสวรรค์และปฐพี เพียงแค่หนึ่งความคิดก็สามารถสอดส่องได้ทุกที่บนผืนพิภพ ต่อให้เจ้าเพียงแค่ขานฉายาของเขาสวรรค์และปฐพี่ก็สามารถสั่นคลอนได้” หอคอยน้อยกล่าวยืดยาว
หลิงฮันตื่นเต้นจนแขนขาสั่นระริก “เจ้าของคนก่อนของหอคอยทมิฬเป็นถึงมหาปราชญ์สวรรค์…. แต่ก็ยังสิ้นชีพ!”
“ถูกแล้ว!” ครั้งนี้หอคอยน้อยไม่ปกปิดความลับ และยอมรับอย่างรวดเร็ว
ไม่น่าแปลกใจที่ทําไมคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ถึงสามารถดึงดูดเพลิงเก้าสวรรค์ และวารีพลังหยินเร้นลับได้ ที่แท้มันก็เป็นทักษะบ่มเพาะที่อยู่เหนืออํานาจแห่งเต๋านั่นเอง!
ยิ่งนึกถึงพลังของมหาปราชญ์สวรรค์ หลิงฮันยิ่งคิดไม่ตกว่าตัวตนระดับนั้นจะสิ้นชีพได้อย่างไร จะบอกว่าอีกฝ่ายปลิดชีวิตตัวเองก็ไม่มีทางเป็นไปได้ แถมไม่มีพลังใดในโลกที่สามารถลบล้างตัวตนระดับนั้นได้อีก
“เจ้าไม่ต้องคิดอะไรเยอะในตอนนี้ เพียงแค่ขัดเกลาพลังบ่มเพาะให้สูงขึ้น ในอนาคตภายภาคหน้า เจ้าจะรับรู้ทุกอย่างเอง” หอคอยน้อยกล่าว
หลิงฮันพยักหน้า หอคอยน้อยนั้นปากแข็งเป็นอย่างมาก หากมันไม่อยากบอก ต่อให้ฝืนถามไปก็ไม่มีความหมาย
ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า ที่จี่อู๋หมิงตัดสินใจเริ่มบ่มเพาะพลังใหม่นั้น ก็เพื่อบรรลุเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุทธภพ ด้วยความกล้าหาญขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ซูหย่าหรงจะเลื่อมใสในคนผู้นี้
แต่เดี๋ยวก่อน แล้วเหตุใดซูหย่าหรงถึงได้เกิดใหม่ด้วยล่ะ? นอกจากนั้นก็ยังมีถังหมิงหลงอีก คนเหล่านี้ต้องการบรรลุเป็นมหาปราชญ์สวรรค์เหมือนกันอย่างนั้นรึ?
เมื่อแก้ข้อสงสัยเก่าได้แล้ว ข้อสงสัยใหม่ก็ผุดขึ้นมา จนทําให้เขาแทบจะเป็นบ้า
ช่างมัน ลืมๆ ไปก่อน!
เขาเพ่งสมาธิกลับไปที่แผ่นหินแก่นแท้แห่งเต๋า และพยายามเรียนรู้
พื้นฐานอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ ของจี่อู๋หมิงนั้นสูงสุดจนน่าอัศจรรย์อยู่แล้ว เพราะงั้นอีกฝ่ายถึงใช้เวลาเพียงสามวัน ก็สามารถรู้แจ้งในแก่นแท้แห่งเต๋ได้อย่างสมบูรณ์
แต่หลิงฮันนั้นไม่ใช่แบบนั้น เขาคือจอมยุทธระดับโลกียนิพพานของจริง ไม่ได้มีพื้นฐานอํานาจแห่งกฎเกณฑ์จากชีวิตที่แล้ว จึงไม่มีทางเคียงชั้นกับจี่อู๋หมิงได้
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งปี ซูหย่าหรงก็ลุกขึ้นยืนและมองไปยังหลิงฮัน สีหน้าของนางเปลี่ยนไปมาไม่แน่ไม่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทําอะไร และเดินลงจากยอดเขาไป
เมื่อนางเดินจากไป หลิงฮันก็ลืมตาขึ้นและเผยรอยยิ้ม หากซูหย่าหรงลงมือกับเขา เขาก็จะไม่ทนและใช้ทุกอย่างเพื่อสังหารนางเช่นกัน
เขาเพ่งสมาธิกลับไปยังแผ่นหินแก่นแท้แห่งเต๋า และรวบรวมความเข้าใจพื้นฐานของ อํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารอย่างช้าๆ
หลังจากเวลาผ่านไปอีกสิบสามปี การรู้แจ้งของหลิงฮันก็สิ้นสุด
เขายังทําความเข้าใจในสิ่งที่ดูดซับ มาจากแก่นแท้แห่งเต๋ไม่ได้ แต่ก็จดจําอักขระทุกตัวอักษรเอาไว้ในห้วงจิตวิญญาณแล้ว
เขามีความคิดอยากจะนําแผ่นหินตรงหน้านี้เข้าไปในหอคอยทมิฬเหมือนกัน แต่ก็ไม่อาจทําเช่นนั้นได้ เนื่องจากแผ่นหินกับภูเขาแห่งนี้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน
หากภูเขาลูกนี้เกิดขึ้นจากหินทั่วไปก็คงไม่อะไร แต่ปัญหาก็คือสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นสถานที่ที่พิเศษ เขาจึงไม่อาจทําเช่นนั้นได้
เขาใช้เวลาจดจําแก่นแท้แห่งเต๋ไปทั้งหมดสิบสามปี
เมื่อหันไปมองฮูหนิว จักรพรรดินี และธิดาโร๋วที่ยังคงอยู่ในสภาวะรู้แจ้ง หลิงฮันก็เข้า ไปในหอคอยทมิฬก่อน และทําการซึมซับแก่นแท้แห่งเต๋าใต้ต้นสังสารวัฏ
จากจุดนี้ทําให้รู้ได้ว่า ฮูหนิวนั้นไม่ใช่ร่างกําเนิดใหม่ของราชานิรันดร์ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยการที่มีอํานาจแห่งเต๋ติดตัวมาจากช่วงชีวิตที่แล้ว มีรึที่นางจะใช้เวลาจดจําแก่นแท้แห่งเต๋านานขนาดนี้?
ที่ใต้ต้นสังสารวัฏ ระยะเวลาผ่านไปอีกเจ็ดแสนปี ซึ่งเป็นเวลาจริงยี่สิบปี หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬ และรู้แจ้งในแก่นแท้แห่งเต๋าในที่สุด
แน่นอนว่าที่บอกว่ารู้แจ้งนั้นเป็นเพียงส่วนเบื้องต้นเท่านั้น เขายังไม่ได้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
แต่เมื่อเห็นว่าพวกฮูหนิวยังใช้สมาธิไปกับแผ่นหินแก่นแท้แห่งเต๋าอยู่ หลิงฮันจึงไม่รบกวนพวกนาง และเข้าไปในหอคอยทมิฬ พร้อมกับนําผลึกโลหิตราชานิรันดร์ออกมา เขาใช้แก่นแท้แห่งเต๋าเป็นอ้างอิงเป็นรากฐาน และฝึกฝนอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารต่อ
ระยะเวลาจริงผ่านไปอีกสิบปี ซูหนิวกับจักรพรรดินีก็ลืมตาขึ้น ทั้งสองจดจําแก่นแท้แห่งเต๋าไปยังห้วงจิตวิญญาณได้สําเร็จแล้ว
เพียงแต่เนื่องจากว่าทางด้านของธิดาโร๋วนั้นยังไม่เสร็จ หลิงฮันจึงให้สตรีทั้งสองเข้าไปในหอคอยทมิฬ เพื่อฝึกฝนอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารรอไปก่อน
ฮูหนิวไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เหตุใดพวกนางจึงต้องเสียเวลารอนังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แสนโง่ด้วยกัน?
หลังจากนั้นเวลาในโลกจริงก็ผ่านไปอีกห้าสิบปี และธิดาโร๋วก็ลุกขึ้นยืนในที่สุด ซึ่งพวกเอี๋ยนเซียนลู่ทั้งสามคน ได้ลงจากเขาไปก่อนหน้านางแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อน
นี่คือความแตกต่างของศักยภาพ