Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 486
ด้านในวิหารศักดิ์สิทธิชั้นสาม ภายในวิหารทองคำที่มีขนาดเล็กกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์สิบเท่า
โซ่เหล็กทั้งสิบแปดเส้นที่ตรวนร่วงของอสูรขนแดงเอาไว้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับอสูรขนแดงได้ตายไปแล้ว แต่หลังจากผ่านพ้นกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด หยดสีแดงขนาดเล็กก็หลั่งไหลออกมาจากร่างของมัน
มันคือหยดโลหิต
ก่อนหน้านี้ปากของราชาแมลงดูดโลหิตได้ทิ่มแทงบริเวณหัวใจของอสูรขนแดงตนนี้อยู่ และเมื่อมีหยดโลหิตสีแดงไหลออกมา ราชาแปลงก็จะดูดหยดโลหิตนั่นเข้าไป แต่ตอนนี้ราชาแมลงไม่อยู่แล้ว หยดโลหิตสีแดงจึงหลั่งไหลออกมาจากบริเวณหัวใจของมัน
ทันใดนั้นสิ่งที่น่าตกตะลึงก็บังเกิดขึ้น เมื่อโลหิตเริ่มหลั่งไหล พลังอำนาจของอสูรขนแดงก็เริ่มฟื้นคืนมา ขนสีแดงตามร่างของมันค่อยๆหดหายไปจนมองเห็นผิวหนังเหี่ยวแห้งที่ติดหุ้มกระดูกเอาไว้
ที่แท้อสูรขนแดงก็เป็นผู้หญิง แต่สภาพของนางในตอนนี้นั้นราวกับซากศพ บนหัวของนางไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว รูปร่างของนางสามารถบรรยายได้เพียงอย่างเดียวคือ ‘น่ากลัว’
แต่หลังจากนั้นเมื่อโลหิตหยดที่สองเริ่มก่อตัวและโคจรไปทั่วร่างของนาง พลังของนางก็กลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับผิวหนังนางที่เริ่มมีน้ำมีนวล ในขณะที่หน้าอกและบั้นท้ายของนางนูนขึ้น ผมยาวสีแดงของนางก็เริ่มงอกยาวจนถึงบั้นท้ายและปิดบังส่วนลับเอาไว้
นางเป็นสาวงามที่มีริมฝีปากแดงราวกับเปลวเพลิง ใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาด หลังของนางมีปีกสีดำรูปร่างเหมือนกับปีกค้างคาวยาวสามเมตรงอกออกมา
‘ตึง ตึง ตึง ตึง’ โซ่เหล็กสั่นไหว นางปรบมือและเอ่ยออกมา “ถูกขังมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ช่างน่าเบื่อจริงๆ!”
“หากไม่มีแมลงกลืนกินโลหิตคอยกำราบอำนาจของข้า โซ่ผนึกปีศาจเหล่านี้ก็ไม่สามารถกังขังนายหญิงผู้นี้ได้อีกต่อไป!”
นางหัวเราะและพูดกับตนเอง “ตระกูลเฟิงยี่กำราบนายหญิงผู้นี้ได้ แต่กลัวว่าการลงมือสังหารนายหญิงผู้นี้ทำทำให้ตระกูลที่ทรงอำนาจพิโรธ ดังนั้นพวกมันจึงกังขังนายหญิงผู้นี้เอาไว้และใช้แมลงกลืนกินโลหิตคอยดูดกลืนแก่นแท้โลหิตของข้า ทำให้ข้าไม่สามารถหลบหนีออกไปได้”
“แปลกนัก ทำไมนายหญิงผู้นี้ถึงรู้สึกว่าที่มิใช่ดินแดนโบราณของตระกูลเฟิงยี่ แต่เป็นพื้นที่มิติที่แปลกประหลาดแทน?”
“ช่างมันเถอะ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการหลบหนีและตามหามนุษย์หนุ่มผู้นั้น! นายหญิงผู้นี้สัมผัสได้ถึงสุดยอดมหาสมบัติบนตัวของเขา!”
***
พวกหลิงฮันยังคงวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง หลังจากหลบหนีออกไปได้ไกลหลายร้อยเมตรพวกเขาถึงถอนหายใจโล่งอก
ทั้งสามคนตัดสินใจหยุดพัก พลังวิญญาณในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้หนาแน่นเป็นอย่างมาก หากพวกเขาไม่บ่มเพาะพลังทุกวันจะนับว่าเป็นการสูญเสียโอกาสครั้งใหญ่ อสูรศิลาขอเสาหินจากหลิงฮันและเริ่มแทะกินอย่างมีความสุข
หลังจากไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป ทั้งสามคนก็บ่มเพาะพลังเสร็จสิ้น ช่วงพลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
“ผลประโยชน์ในครั้งนี้ช่างสุดยอดยิ่งนัก!” เยว่ไค่หยู่นำขวดหยกที่บรรจุหยดวิญญาณออกมา พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พวกเขารู้ว่ามันต้องเป็นสมบัติชั้นยอดแน่ๆ ส่วนวิธีการใช้นั้น พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองมันอย่างไร้หนทาง
หยดวิญญาณเป็นสมบัติล้ำค่า แค่มันไม่สามารถใช้กินแบบสุ่มสี่สุ่มห้า หากประสิทธิภาพของมันมีมากกว่าระดับพลังของผู้กินมากเกินไป ร่างของผู้ที่กินมันเข้าไปอาจจะระเบิดตายได้
หลิงฮันหยิบขวดหยกมาและพูด “ขอข้าศึกษาวิธีการใช้มันซักพัก ก่อนอื่นพวกเรามากินอาหารกันเถอะ!” เขานำหัวสิงโตและร่างจระเข้ที่เป็นศพของอสูรยักษ์ออกมา จากนั้นจึงก่อไฟเพื่อทำอาหาร
นี่คือราชาสัตว์อสูรระดับบุปผาผลิบาน ถ้าพวกเขากินทุกส่วนของมันพร้อมกัน ร่างของพวกเขาทั้งสามคนจะต้องระเบิดตายเพราะไม่อาจดูดซับพลังงานได้หมดแน่นอน ดังนั้นหลิงฮันจึงตัดส่วนขาของมันมาใช้ทำอาหาร
เยว่ไค่หยู่และกว่างหยวนทำหน้าที่ตั้งเต็นท์ที่พัก หลังจากนั้นหลิงฮันก็นำหลีซื่อฉางออกมาจากหอคอยทมิฬซึ่งเยว่ไค่หยู่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก หลิงฮันกับกว่างหยวนบอกไปว่าพวกเขาเห็นหลีซื่อฉางเดินอยู่แถวๆนี้ ทำให้หลีซื่อฉางสับสนอย่างบอกไม่พูด
เมื่อใดกันที่สัมผัสของมันอ่อนแอจนไม่สามารถรับรู้ว่ามีจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุเดินอยู่แถวๆนี้? แถวมันก็ยังบังเอิญเกินไป… พวกเขาหลบหนีมาโดยไม่ล่วงรู้ทิศทาง แต่กลับบังเอิญโชคดีมาพบกับหลีซื่อฉางงั้นรึ?
แต่หลังจากที่สุราเข้าปาก เยว่ไค่หยู่ก็หลงลืมทุกสิ่งทุกคนที่เคยสงสัย
ทั้งสี่คนเริ่มลงมือกินอาหาร หลีซื่อฉางนั้นเพียงแค่กัดคำเล็กๆทั่วทั้งร่างของนางก็ส่องประกายออกมาและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งขัดสมาธิทำการบ่มเพาะพลัง
แม้แต่เยว่ไค่หยู่กับกว่างหยวน เมื่อกินเข้าไปหนึ่งจานเล็กๆพวกเขาก็ต้องรีบบ่มเพาะพลังเพื่อดูดซับพลังงานเช่นกัน มีเพียงหลิงฮันเท่านั้นที่ยังคงกินอย่างต่อเนื่องราวกับถูกฮูหนิวเข้าสิง ซึ่งทำให้เยว่ไค่หยู่ตกใจจนลูกตาเกือบหลุดออกจากเบ้า
เยว่ไค่หยู่มั่นใจมากว่าถ้าเขากินเนื้อที่ล้ำค่าจำนวนมากขนาดนั้นเข้าไป ร่างของเขาจะต้องระเบิดแน่นอน
หลังจากกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม ในไม่ช้าหม้อน้ำซุปก็หมดเกลี้ยง หลิงฮันเริ่มโคจรทักษะห้าธาตุสวรรค์เพื่อซึมซึมพลังงานที่ได้รับมา
‘ตูม’ แสงศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมาจากทั่วร่างหลิงฮันพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย
คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ถูกกระตุ้นใช้งานและกำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนากายหยาบของเขาจากกายาเหล็กไหลเป็นกายาเพชร แต่พลังงานที่ต้องใช้ในขั้นตอนนี้นั้นมีจำนวนมากเกินไป เขาจึงไม่สามารถบรรลุกายาเพชรได้ในระยะเวลาสั้นๆ
หลิงฮันลุกขึ้นและเดินเข้าไปในเต็นท์ที่พัก เขาแกล้งทำเป็นนอนหลับและเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ตอนนี้เขาต้องการเวลาเล็กน้อยเพื่อทำการศึกษาหยดวิญญาณ