Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 510
ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันมองเห็นชายชราผิวคล้ำร่างผอมปรากฏตัว แม้ชายชราจะดูธรรมดาทั่วไป แต่กลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวจนสามารถทำให้ผู้คนขวัญผวาได้เลย
มันคือตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ที่ทำให้หลิงฮันประหลาดใจก็คือกลิ่นอายของชายชราผู้นี้นั้นอบอวลไปด้วยความตาย
ปราณซากศพ!
ชายชราผู้นี้มาจากนิกายพันศพ!
หลังจากนิ่งเฉยมานาน ในที่นิกายพันศพก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ไม่ใช่เพียงชายชราร่างผอมแค่คนเดียว ผ่านไปสักพักชายชราร่างอ้วนเตี้ยก็ปรากฏตัวตามมา
“โจมตีไม่โดน” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว
“อุปกรณ์มิตินั่นช่างไม่ธรรมดาจริงๆ มันสามารถป้องกันได้แม้แต่การโจมตีของเจ้า” ชายชราอ้วนเตี้ยกล่าว
“เป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว “ถ้านิกายของเราได้มันมาครอบครอง พวกเราจะยังต้องกลัวผู้ใดอีก?”
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้ว!” ชายชราร่างอ้วนถูมือไปมาพร้อมกับหัวเราะลั่น
แต่ปัญหาก็คือพวกมันจะนำสมบัตินั่นมาได้อย่างไร? พวกมันไม่รู้แม้แต่ตำแหน่งที่หลิงฮันอยู่ เพราะงั้นจึงไม่อาจสังหารเพื่อแย่งชิงมันมาได้
“เจี่ยวหยิน เจ้าเคยปะทะกับเจ้าหนูนั่นมาแล้ว มันมีจุดอ่อนใดให้เราใช้ประโยชน์ได้บ้าง?” ชายชราร่างอ้วนถาม
เจี่ยวหยินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพ “อาวุโสเทียนเฉื่อ พรสวรรค์ในวิถีวรยุทธของเจ้าหนูนั่นน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก แถมสัมผํสสวรรค์ก็ยังเฉียบแหลมอีกด้วย ข้าเคยพยายามลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว”
“ฮึ่ม อาณาเขตแห่งนี้คือภูมิภาคเหนือที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณคือราชัน ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าข้าจะจัดการกับเจ้าหนูนั่นไม่ได้!” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“คุ้มกันที่นี่เอาไว้ เมื่อเจ้าหนูนั่นปรากฏตัวอีกครั้ง จงคร่าชีวิตของมันซะ!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว
“อะไรกัน?!” ร่างของพวกมันชะงักพร้อมกันในขณะที่สายตาจ้องมองไปยังบริเวณช่องว่างของหุบเขา พวกมันเห็นชายชราแปดคนกำลังย่างเท้าเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้าก่อนที่จะปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าพวกมัน
“ที่แท้ก็เป็นสหายพี่น้องจากนิกายจันทราเหมันต์นี่เอง” อาวุโสเทียนเฉื่อประสานมือทักทาย
“เหอะ เจ้าเรียกใครว่าพี่น้อง?” จือเฮอชุนพูดอย่างเย็นชา
“ในเมื่อเห็นพวกเราแล้ว พวกเจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก?”
“ไสหัวไป?” อาวุโสเทียนเฉื่อแสยะยิ้ม “จือเฮอชุน เจ้ารู้รึไม่ว่านิกายของพวกข้าแข็งแกร่งขนาดไหน? ผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายพันศพคือตัวตนระดับทลายมิติอันเกรียงไกร! ผู้อาวุโสรองทั้งเจ็ดที่คอยคุ้มกันนิกายคือระดับสวรรค์ทุกคน! ผู้คุมกฎระดับก้าวสู่เทวามีสามสิบสามคนในขณะที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณเช่นพวกเรานั้นมีเป็นร้อย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จือเฮอชุนและอีกเจ็ดคนก็สูดหายใจลึก
ขุมกำลังนี้แข็งแกร่งเกินไป ขนาดตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณยังมีนับร้อย หากนับทั่วทั้งภูมิภาคเหนือ ระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งหมดจะมีจำนวนใกล้เคียงนิกายพันศพรึเปล่า?
“แล้วอย่างไร?” ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวกรอกตา “ราชันของภูมิภาคเหนือคือระดับตัวอ่อนวิญญาณ เหล่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขึ้นไปที่ข้ามผ่านกำแพงของภูมิภาคมาจะต้องถูกผนึกพลังบ่มเพาะหรืออาจจะกระทั่งพลังชีวิต ดังนั้นสถานที่ตั้งของนิกายพันศพสมควรจะตั้งอยู่ที่ภูมิภาคกลาง ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ขอให้ตัวตนระดับก้าวสู่เทวามาปรากฏตัวที่นี่ล่ะ?”
“นิกายของเราจะรวมผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันในไม่ช้านี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง หากพวกเจ้าไม่อยากกลายเป็นทหารซากศพ พวกเจ้าก็ต้องร้องขอความเมตตาจากพวกข้า!” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดอย่างทะนงตน “เพียงแค่กำแพงแห่งภูมิภาค คิดรึว่าตัวตนระดับสูงของนิกายเราจะทำลายมันไม่ได้?”
จือเฮอชุนและอีกเจ็ดคนตกตะลึง กำแพงแห่งภูมิภาคคืออะไร? มันคือกำแพงที่สร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับทลายมิติ และถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะสามารถต้านทานการโจมตีของจอมยุทธระดับทลายมิติเหมือนกันได้รึ?
“ใครที่เชื่อฟังเราจะรุ่งโรจน์ และใครที่ต่อต้านเราจะแตกดับ!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกับอาวุโสเทียนเฉื่อพูดออกมาพร้อมกัน
“บดซับ!” ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวคำรามด้วยความโกรธ “ความชั่วร้ายไม่มีทางชนะความดี ถ้าผู้นำนิกายของเจ้ากล้าลงมือผลีผลาม คิดรึว่านิกายดาบสวรรค์และนิกายนกอมตะเมฆาจะไม่แทรกแซงหยุดยั้งพวกเจ้า? เลิกพูดเรื่องไร้สาระและไสหัวไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องตาย!”
อาวุโสเทียนเฉื่อและชายชราร่างผอมผิวคล้ำเค้นเสียงดูถูก ‘ฟิ้ววว’ เมื่อพวกมันผิวปากด้วยเสียงแสบแก้วหู โลงศพทั้งสี่ก็ลอยใกล้เข้าใกล้มาจากตำแหน่งที่ห่างไกลพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายที่อบอวลไปทั่วบริเวณ
ชายชราสองคนนี้วางแผนจะซุ่มสังหารหลิงฮัน ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกมันจึงไม่สามารถนำทหารซากศพไว้ใกล้ตัวได้
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ทหารซากศพสี่ตัวกระโจนออกมาจากโลงศพ ใบหน้าของพวกมันหน้าสยดสยองเป็นอย่างมาก แต่ชั้นผิวหนังบนร่างของพวกมันถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์
ทหารซากศพระดับทองคำขั้นหนึ่ง พลังของพวกมันเทียบได้กับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ
“แล้วแบบนี้ล่ะจะว่าอย่างไร?” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดเยาะเย้ย
จือเฮอชุนและผู้อาวุโสอีกเจ็ดคนขมวดคิ้ว แปดปะทะหก พวกมันยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ แต่ปัญหาก็คือถึงแม้พวกมันจะสามารถเอาชนะได้ แต่ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายก็ต้องมหาศาลแน่นอน
“เหอะ เป้าหมายของทุกคนคือเจ้าหนูนั่น ทำไมไม่รอให้มันปรากฏตัวและค่อยสังหารมันด้วยกันล่ะ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราทุกคนจะสามารถขโมยสมบัติของมันมาได้!” จือเฮอชุนกล่าว
“งั้นก็ตามนั้น!” ชายชราระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งสองของนิกายพันศพเองก็ไม่ได้ต้องการเปิดศึกตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอย่างไรพวกมันก็เสียเปรียบในเรื่องของจำนวนคน
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ พวกมันก็ล้มเลิกความเป็นปรปักษ์กันชั่วคราวและรอคอยให้หลิงฮันปรากฏตัว
ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันฮันถอนหายใจ ด้วยการโจมตีเมื่อสักครู่ทำให้หอคอยทมิฬที่มีขนาดทำเม็ดฝุ่นปลิวลอยตามสายลมไปยังบริเวณที่ห่างไกล ไม่เช่นนั้นถ้าหากเขานำซากศพของพระเจ้าออกมา เขาจะต้องกำราบตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งสิบคนนั่นได้อย่างแน่นอน
แต่แรงกดดันนั่นจะมีผลกับทหารซากศพรึ?
หลิงฮันไม่รู้ในเรื่องนี้ เพราะอย่างไรทหารซากศพก็เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าหุ่นเชิด ไม่เคยมีใครกล่าวมาก่อนว่าพวกมันสามารถถูกกดดันด้วยกลิ่นอายใดๆ
แล้วเขาจะทำอย่างไรดี? รอให้พวกมันหมดความอดทนแล้วจากไป?
หลิงฮันส่ายหัวทันที หากเป็นเช่นนั้นอสูรเฒ่าเหล่านั้นจะต้องออกตามหาหลิงตงซิงเป็นแน่
เขาตัดสินใจที่จะทำการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และจัดการอสูรเฒ่าบัดซบเหล่านั้นด้วยพรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬ
หลิงฮันตั้งมั่น เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างทิ้งและเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลัง ในตอนแรกเขามีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าช่วงกลางอยู่แล้ว หลังจากบ่มเพาะพลังได้สิบวัน พลังบ่มเพาะของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าช่วงปลาย
ภายในตันเถียนของเขาปรากฏห้วงมหาสมุทรวิญญาณอันกว้างใหญ่โดยมีแก่นแท้จิตวิญญาณสองลูกอันทรงอำนาจลอยอยู่เหนือมหาสมุทร
“จะดีกว่านี้ถ้าใช้เวลาอีกไม่กี่เดือนในการควบแน่นพลังบ่มเพาะให้ถึงจุดสมบูรณ์ก่อนที่จะทะลวงผ่าน แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่มีเวลาขนาดนั้น ข้าต้องรีบเริ่มทะลวงกำแพงของระดับบุปผาผลิบานเดี๋ยวนี้เลย!” หลิงฮันกล่าว
‘แกรก แกรก แกรก แกรก’ กระดูกภายในร่างของเขาเริ่มปริแตก ราวกับห่วงโซ่แห่งเต๋าที่เหนี่ยวรั้งวัฏจักรมนุษย์กำลังพังทลาย หลิวอู๋ตงและคนอื่นนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆหลิงฮัน ทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชร์อย่างมาก