Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 543
เนตรสวรรค์
การต่อสู้ก่อหน้านี้ทั้งสามคนมีพลังต่อสู้ไม่ต่างกันมากนัก แน่นอนว่าหลิงฮันยังไม่ได้ใช้ไม้ตายอย่างดาบลึกลับสามพันเล่ม แต่เขาก็เชื่อว่าอีกสองคนก็ยังไม่ได้เปิดเผยไพ่ลับของตนออกมาเหมือนกัน ไพ่ลับบางอย่างเป็นสิ่งจะใช้ก็ต่อเมื่อถูกต้อนให้จนมุมถึงตายเท่านั้น
.
แต่ถ้าซวนหยวนจื่อกวงเป็นคู่ต่อสู้ที่แม้แต่หลางหวู่ซินที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรียังต้องยอมรับก็แสดงว่าไม่ใช่แค่อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่านิดๆหน่อยๆ แต่ต้องแข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว
“หมอนั่นแข็งแกร่งมาก” เฟยหงพยักหน้า “แต่เหตุผลหนึ่งก็เพราะเขาได้เปรียบในเรื่องพลังบ่มเพาะ นั่นก็คือระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า ถ้ามีพลังบ่มเพาะระดับเดียวกันล่ะก็ข้ามั่นใจแน่นอนว่าข้าต้องไม่แพ้!”
“ไม่ แม้จะมีระดับพลังเท่ากันพวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” หลางหวู่ซินส่ายหัว
“เจ้ายังไม่ทันได้ลองเลย” เฟยหงปฏิเสธที่จะยอมรับ
หลางหวู่ซินกล่าว “แค่ทะลวงผ่านขั้นพลังเล็กๆพวกเราไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ แต่ถ้าเป็นฮันหลิงล่ะที่มีพลังระดับเดียวกันล่ะก็พอมีโอกาสที่จะชนะซวนหยวนจื่อกวงได้อยู่”
ครั้งนี้เฟยหงพยักหน้าเห็นด้วย “น้องฮันมีพลังบ่มเพาะเพียงแค่บุปผาผลิบานขั้นสองและสามารถสู้กับพวกเราได้อย่างสูสี แถมยังหากเป็นในด้านพลังต่อสู้ล้วนๆน้องชายฮันยังนับว่าแกร่งกว่าพวกเราอีกด้วย ตอนแรกพวกข้าคิดว่าจะสู้กับเพื่อขัดเกลาพลังเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบสัตว์ประหลาดที่มีพรสวรรค์เช่นนี้”
“ซวนหยวนจื่อกวงมาจากนิกายโบราณนิกายไหนรึเปล่า เขาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?” หลิงฮันถามด้วยความสนใจ
“ต้นกำเนิดของเขาลึกลับเป็นอย่างมาก ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเขา แต่ข้าเคยสู้กับเขาครั้งนึงทำให้รู้ว่าสายเลือดของเขาสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้ถึงสามดาว” หลางหวู่ซินพูดอย่างไม่มั่นใจ
สามดาว!
ถ้าคิดว่าการเพิ่มพลังต่อสู้ได้สามดาวเป็นเรื่องเล็กน้อยเชียว สำหรับอัจฉริยะอย่างพวกเขาการเพิ่มพลังต่อสู้ระหว่างการปะทะนั้นสามารถทำให้สถานการณ์พลิกผันได้เลย
หลางหวู่ซินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ถ้าเขาไม่ใช้พลังสายเลือด พลังต่อสู้ของเขาก็ไม่ต่างจากข้ามากนัก แต่ถ้าหากเขากระตุ้นใช้งานสายเลือดล่ะก็ พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล”
หลิงฮันพยักหน้า ในโลกนี้มีคนมากมายที่เขาไม่ควรดูถูก
“น้องฮัน แล้วไว้พบกันใหม่ที่ภูมิภาคกลาง!” หลังจากเฟยหงกับหลางหวู่ซินใช้เวลาอย่างสนุกสนานพอแล้ว พวกเขาก็กล่าวลาหลิงฮัน “การสู้กับเจ้าในวันนี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับพวกข้ามากนัก พวกเราจำเป็นต้องผ่านการต่อสู้เสี่ยงตายให้มาก ถ้าพวกเรารอดมาได้ พลังต่อสู้ของพวกเราจะเพิ่มขึ้นมหาศาล”
“นั่นเป็นสิ่งที่ดี” หลิงฮันเห็นด้วย อัจฉริยะไม่ใช่สิ่งสวยหรูอย่างที่คนอื่นๆมองเห็น ใครบ้างจะไม่ต้องใช้ชีวิตตนเองเข้าเสี่ยงเพื่อให้เติบโตแข็งแกร่งขึ้น?
ทั้งสองคนบินจากไปคนละทิศทาง
“เฮ้อ!” หยินหงถอนหายใจ “ข้าคิดว่าพวกเรามีโอกาสที่จะชนะอยู่แล้วแท้ๆเชียว ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวออกมามากมายขนาดนี้! ไว้ปีหน้าเจ้าช่วยเข้าร่วมแข่งขันอีกทีได้ไหม?”
หลิงฮันหัวเราะและพูด “ข้าจะแนะนำปรมาจารย์ให้เจ้า ด้วยการช่วยเหลือจากปรมาจารย์คนนี้ข้ารับประกันว่าซวนหยวนจื่อกวงจะต้องถูกจัดการอย่างง่ายดาย”
“โอ้ เจ้าคงไม่บอกว่านั่นคือเจ้าหรอกนะ?” หยินหงจ้องมองหลิงฮันด้วยความสงสัย “ข้าบอกไปแล้วไงว่าถ้าข้าต้องจ่ายให้เจ้าเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นสามพันผลึกก่อเกิดล่ะก็ ข้าคงต้องไปขายตัวแล้ว!”
“ผิดแล้ว!” หลิงฮันกรอกตา “ปรมาจารย์ที่ข้าพูดถึงคือนาง” เขาชี้ไปยังเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
‘พรวด!’
หยินหงสำลักออกมาทันที นี่มันเรื่องตลกอันใด?
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเป็นกังวลและหลบอยู่ด้านหลังหลิงฮัน มือทั้งสองของนางจับเสื้อของหลิงฮันไว้แน่น นางกลัวว่าตัวนางจะถูกหลิงฮันขายให้คนอื่น
หลิงฮันถอนหายใจ นางช่างไม่มีท่าทางของปรมาจารย์เอาเสียเลย
หลายวันต่อมากำแพงแห่งภูมิภาค
มันคือกำแพงโปร่งใสที่สูงสง่า ทุกคนคาดเดากันว่ามันถูกสร้างขึ้นจากรูปแบบอาคมบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบเจอแก่นอาคมที่ตั้งเอาไว้ ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงการคาดเดา
กำแพงโปร่งใสคือสิ่งที่แยกภูมิภาคกลางกับภูมิภาคทั้งสี่ออกจากกัน รวมถึงแยกพลังบ่มเพาะของจอมยุทธในแต่ละภูมิภาคให้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย กำแพงโปร่งใสนี้จะไม่มีผลต่อคนธรรมดา แต่สำหรับจอมยุทธนั้น ยิ่งมีพลังบ่มเพาะสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งได้รับผลกระทบมากเท่านั้น ถ้าหากตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณข้ามผ่านกำแพงโปร่งใสนี้ ไม่เพียงแค่พลังบ่มเพาะของเขาจะลดลงชั่วคราว แต่แก่นแท้ในตันเถียนก็ยังถูกตัดขาดอีกด้วย
ดังนั้นถ้าหากต้องการเดินทางท่องเที่ยวทั่วทวีปก็ควรทำตั้งแต่ยังเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับผลกระทบจากกำแพงแห่งภูมิภาคแต่ยังเป็นระดับพลังที่แข็งแกร่งพอจะป้องกันตนเองด้วย
กำแพงแห่งภูมิภาคนั้นสูงทะยานเสียดฟ้าราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
“จุดสิ้นสุดของกำแพงแห่งนี้คืออะไร?” หลิงฮันกล่าว
“จุดสิ้นสุด? ก็ต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานไม่ใช่รึไง?” หยินหงเอ่ย
หลิงฮันส่ายหัว ในอดีตเขาเคยลองบินทะบานขึ้นสูงเสียดฟ้าแล้ว แต่ก็ต้องพบเจอกับพายุอันรุนแรงที่แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ยังไม่อาจต้านทาน เขาทำได้เพียงล้มเลิกความคิดที่จะทะยานขึ้นไปดูว่าด้านบนนั้นมีอะไรกันแน่
“สักวันหนึ่ง ข้าจะเปิดผนึกกำแพงแห่งนี้และขึ้นไปดูว่ามันมีอะไร!” หลิงฮันพูดด้วยความมั่นใจและความตื่นเต้น หากเป็นระดับทลายมิติแล้วก็ต้องบดขยี้ห้วงมิติและกลายเป็นพระเจ้า นั่นจะหมายถึงต้องทำลายกำแพงแห่งภูมิภาคนี้รึไม่?
‘ตูม!’
ทันใดนั้นบริเวณปลายสุดของท้องฟ้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นบรรยากาศมืดสลัว จากนั้นก็มีก้อนเมฆสีดำที่ถูกปกคลุมไปด้วยอัสนีบาตสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏออกมา
อัสนีบาตสวรรค์?
เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ระดับบุปผาผลิบานจะดึงดูดอัสนีบาตสวรรค์ได้อย่างไร? มีคำกล่าวว่ามีเพียงตอนทะลวงผ่านระดับทลายมิติเท่านั้นถึงจะดึงดูดอัสนีบาตสวรรค์ได้
ณ บริเวณกึ่งกลางก้อนเมฆมีดวงตาขนาดใหญ่ดวงหนึ่งที่มีขนาดเทียบเท่าภูเขาจ้องมองมายังหลิงฮัน
หลิงฮันมั่นใจเลยว่าดวงตานั่นกำลังจ้องมาที่เขา ถึงแม้เขาจะมีเศษเสี้ยวสัมผัสสวรรค์ของจอมยุทธระดับสวรรค์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแรงกดดันของเมฆสีดำตรงหน้านี้เขาก็ยังรู้สึกราวกับวิญญาณภายในร่างกำลังจะระเบิดออก
แต่เขาไม่จำเป็นต้องหลบหนี ดวงตาตรงเมฆสีดำไม่ได้มีจิตสังหารใดๆ มันเพียงมองมาทางหลิงฮันอย่างดูถูกราวกับกำลังหัวเราะเยาะใส่เขา
เนตรสวรรค์แห่งเต๋า!
หลิงฮันกลายเป็นตึงเครียดทันที เขาเคยรู้มาตั้งแต่ยุคบรรพกาลถ้าเกินมีใครปากผล่อยพูดสิ่งที่จะทำให้สมดุลของสวรรค์และปฐพีเปลี่ยนแปลงออกมา เนตรสวรรค์แห่งเต๋าจะปรากฏเพื่อเป็นการตักเตือน
แน่นอนว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่ปากผล่อยแล้วเนตรสวรรค์แห่งเต๋าจะปรากฏ มีเพียงคนที่มีศักยะภาพมากพอจะสั่นคลอนสมดุลของสวรรค์และปฐพีได้เท่านั้นเนตรสวรรค์แห่งเต๋าถึงจะเคลื่อนไหว
หรือว่าที่เขาพูดจะทำลายกำแพงแห่งภูมิภาคนี่ในสักวันจะทำให้สมดุลของสวรรค์และปฐพีสั่นคลอน? เขามีศักยภาพเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้อนาคต?
“เจ้าเมฆน่าเกลียด รีบๆไสหัวไปซะ หนิวไม่ชอบเจ้า!” ฮูหนิวกระโดดขึ้นมาบนหลังคาของรถม้า พร้อมกับเท้าเอวด้วยท่าทีขึงขัง
เนตรสวรรค์แห่งเต๋าจ้องมองมายังฮูหนิว ทันใดนั้นท่าทางของมันก็ราวกับรู้สึกหวั่นเกรง เมฆสีดำเริ่มจางหายพร้อมกับเนตรสวรรค์แห่งเต๋าที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่น่าเชื่อ หรือว่ามันจะหวาดกลัวฮูหนิวจริงๆ?