Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 619
“หุบเขาโอสถคือสถานที่แบบไหน ทำไมถึงมีสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวามากมายขนาดนั้น?” หลิงฮันรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เพราะสัตว์อสูรก้าวสู่เทวานั้นจะมีอาณาเขตเป็นของตัวเอง และไม่มีเหตุผลที่พวกมันต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน
กระต่ายยักษ์พูดว่า “มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ในหุบเขาโอสถมีราชาอินทรีระดับสวรรค์อาศัยอยู่ ณ ถ้ำหยกม่วง มันเป็นสัตว์อสูรเชื้อสายโบราณและเป็นราชาในหมู่ราชา!”
หลิงฮันถอนหายใจ การดำรงอยู่ของราชาอินทรีเป็นตัวตนที่น่าเกรงขามตั้งแต่อดีต มันไม่ใช่ราชาสัตว์อสูรธรรมดา แต่เป็นราชาในหมู่ราชา ซึ่งความแข็งแกร่งของมันเทียบเคียงได้กับจักรพรรดิดาบ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
ในโลกใบนี้ ราชาสัตว์อสูรนั้นมีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองไปถึงระดับทลายมิติได้!
ถ้ามันไปถึงระดับนั้น มันจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดภายในดวงตะวัน และแทบจะเป็นตัวตนไร้พ่าย
“แต่เจ้าก็ยังกล้าเข้าไป!” หลิงฮันยิ้ม
“กระต่ายกับอินทรีไม่ถูกกันอยู่แล้ว ข้าต้องเข้าไปขโมยสมุนไพรเพื่อไม่ปล่อยให้มันทะลวงผ่านระดับทลายมิติ!” กระต่ายยักษ์กล่าว
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “โชคดีที่เจ้าไม่โดนราชาสัตว์อสูรระดับสวรรค์สั่งสอน”
“เจ้าหนู เจ้าจะพูดจาให้มันฟังดูดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?” กระต่ายยักษ์ไม่พอใจ “อ๊าก! เจ้าเด็กนี่กัดข้าอีกแล้ว!”
ฮูหนิวเค้นเสียงและพูดว่า “เจ้าจะพูดกับหลิงฮันดีๆหรือจะให้หนิวกินเจ้า!”
“ก็ได้! ปล่อยข้าได้แล้ว!” กระต่ายยักษ์ทำได้แค่ยอมแพ้
ระหว่างพูดคุยกัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่นัดหมายกันเอาไว้ มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่เบื้องหน้า แต่ชาวบ้านทุกคนกลายเป็นทหารซากศพ และพวกเขาถูกหลิงฮันเก็บกวาดหมดแล้วเมื่อก่อนหน้านี้
“ทำไมพวกเจ้าถึงมาช้าขนาดนี้!” เย่หรงปรากฏตัว และเขาดูไม่พอใจขณะจ้องมองทุกคน พวกเขารู้หรือไม่ว่าเขาต้องรอนานแค่ไหน? เขาเป็นถึงอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักสวรรค์ เวลาของเขามีค่า แต่พวกเขากับปล่อยให้เขาต้องรอนาน!
“มันมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น” ฉินหยีเย่วกล่าวและพูดเกี่ยวกับฝูงสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวา
“ว่าไงนะ!” เย่หรงรู้สึกตกใจ “ไม่แปลกใจเลยที่ข้าเห็นพื้นดินสั่นไหวรุนแรงก่อนหน้านี้ ที่แท้เป็นพวกสัตว์อสูรนี่เอง และพวกมันทุกคนเป็นสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวาหมดเลยหรือ? ขอบคุณพระเจ้าที่แม่นางฉินปลอดภัย!”
เย่หรงจ้องมองไปที่ฉินหยีเย่วด้วยสายตาเร่าร้อนป่านจะกลืนกินนาง
ในขณะนั้นหลิงฮันส่งเสียง “แฮ่ม” ออกมาแล้วนำผลลูกพีชออกมาและพูดว่า “ส่วนนี่ลูกพีชของเจ้า!”
เย่หรงเรียกสติของตัวเองกลับมา เขารู้สึกตกตะลึงและพูดว่า “เจ้าเก็บมันมาได้ด้วย?” มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แม้จะมีฝูงสัตว์อสูรแห่กันออกมา แต่เขาก็สามารถเก็บเกี่ยวมันมาได้
เมื่อได้รับมัน เย่หรงกินมันทันที ซึ่งแน่นอนว่าสมุนไพรระดับเจ็ดไม่ควรกินพร่ําเพรื่อ และควรจะกินตอนที่พบปัญหาคอขวดระหว่างบ่มเพาะพลัง ทำให้ทุกคนส่ายหน้าอยู่ในใจ
“หืม…เดี๋ยวก่อน ทำไมถึงมีเจ้ากระต่ายยักษ์อยู่ที่นี่ด้วย?” เย่หรงจ้องมองไปที่เจ้ากระต่ายยักษ์ ถ้ามันตัวโตได้ขนาดนี้มันจะต้องเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ฉินหยีเย่วพูดแค่ว่าสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวาแห่กันออกมา แต่ไม่ได้พูดว่าที่มันแห่ออกมาเพราะเจ้ากระต่ายยักษ์นี่ขโมยโสมโลหิตราชามังกรทรราช ดังนั้นเย่หรงจึงไม่เห็นมันอยู่ในสายตาซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นถึงสัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณ
“เจ้ากำลังมองอะไร?” กระต่ายยักษ์ตะโกนใส่เย่หรง
ใบหน้าของเย่หรงกระตุกทันทีเมื่อเห็นมันพูดได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก!
“เจ้ากระต่ายนี่พูดได้!” เขาระงับความโกรธไว้ในใจและหันไปมองฉินหยีเย่วเพื่อยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง
“โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาล และเต็มไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์” ฉินหยีเย่วกล่าวขณะพยักหน้า
“ถ้างั้นเดินทางไปที่สำนักสวรรค์กันต่อเถอะ” หลิงฮันกล่าว
ทุกคนกลับไปเดินอยู่บนเส้นทางอีกครั้ง และเจ้ากระต่ายยักษ์ติดตามหลิงฮันไปอย่างมีความสุข เผ่ามนุษย์คนนี้นำโสมพันปีออกมาราวกับเป็นของไร้ค่า ดวงตาของมันจ้องมองไปที่หลิงฮันหวังจะใช้ประโยชน์ แต่มันมักจะถูกฮูหนิวลอบกัด ทำให้มันกรีดร้องราวกับเป็นกิจวัตรประจำวัน
หลังจากเข้าสู่แคว้นบุปผาลอยล่อง พวกเขาจะพบเจอรุ่นเยาว์อยู่บ่อยครั้ง พวกเขาส่วนใหญ่มีอายุไม่เกินห้าสิบปีและทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว และแน่นอนว่าในหมู่รุ่นเยาว์เหล่านั้นจะต้องมีคนที่บรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว
“หืม นั่นพี่ชายเย่หรงมิใช่หรือ?” ระหว่างทางพวกเขาเห็นกลุ่มคนเดินปรากฏตัวมาจากข้างทาง ในหมู่พวกเขามีใครบางคนรู้จักเย่หรงและทักทายเขา
“เจ้าคือ…” เย่หรงลังเล เขาไม่รู้จักฝ่ายตรงข้าม
“ข้ามีชื่อว่าโฮวจื้อ” อีกฝ่ายรีบแนะนำตัวเอง “ข้าเป็นศิษย์ของหุบเขาห้าธาตุ และเคยเห็นพี่ชายเย่หรงเมื่อสองปีก่อน ในตอนนั้นพี่ชายเย่หรงได้รับชัยชนะติดต่อกันสิบสองครั้งทำให้กลายเป็นหนึ่งในผู้ชนะที่หาตัวจับได้ยากนับตั้งแต่มีการประลอง ก่อนอื่น พวกเขารู้สึกนับถือพี่ชายเย่หรงเป็นอย่างยิ่ง”
เย่หรงขบคิดอยู่ครู่หนึ่งและเผยสีหน้าเบิกบาน ในความเป็นจริง เขาเพิ่งจะจำการแข่งขันนั้นได้และคนที่เขาเคยต่อสู้ด้วยบนลานประลอง อย่างไรก็ตาม เขามีชื่อเสียงเพราะชนะคู่ต่อสู้ได้สิบสองคนติดต่อกัน และเมื่อถูกอีกฝ่ายเปิดปากพูดชม ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกพึงพอใจและประทับใจในตัวฝ่ายตรงข้ามมาก
“พวกเจ้ามานี่เร็ว ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จัก นี่คือพี่ชายเย่หรง จากนิกายดาราเหินฟ้า และมีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักสวรรค์!” โฮวจื้อแนะนำให้สหายของเขาได้รู้จัก
อัจฉริยะ! แข็งแกร่งยิ่งนัก!
คนพวกนั้นอุทานออกมาและรีบแห่เข้าไปหาเย่หรงทันที
ช่วนไม่ได้ที่ฉินหยีเย่วส่งเสียงกระแอมออกมาและพูดว่า “พวกข้าขอทางหน่อยได้ไหม?”
“ต่อหน้าพี่ชายเย่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงพูดแบบนั้น!” คนผู้หนึ่งตอบโต้คำพูดของฉินหยีเย่ว
เย่หรงแสดงสีหน้าไม่พอใจทันทีและพูดว่า “นี่คือแม่นางฉิน ฉินหยีเย่วจากหุบเขาทมิฬ นางเป็นสหายที่ดีกับข้า ขอโทษนางซะ!”
เมื่อชายคนนั้นได้ยิน เขาจึงรู้ว่าเย่หรงสนใจฉินหยีเย่ว เขาเลยรีบก้มหัวขอโทษและพูดว่า “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นแม่นางฉิน ข้าหวังว่าแม่นางฉินจะยกโทษให้กับความผิดของข้า!”
ฉินหยีเย่วแสยะยิ้มและพูดว่า “เย่หรงเจ้าจะไปกับพวกเขาก็ได้”
ตลอดทางนางฟังเขาพูดจาโอ้อวดมามากพอแล้ว