Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 636
ดวงตาของทุกคนกลายเป็นร้อนผ่าว หวังอีหยุนคือสตรีที่พวกเขานับถือว่าเป็นเทพธิดา! แถมนางยังเป็นไข่มุขอันล้ำค่าของทั้งตระกูลหวังและนิกายอัสนีบาตสีครามแต่ตอนนี้บั้นท้ายของทางกับถูกจู่โจมโดยบุรุษ?
น่าอิจฉายิ่งนัก! ข้าเองก็อยากจะทำเช่นนั้นบ้างเหมือนกัน ไม่ใช่ด้วยดาบแต่ด้วยฝ่ามือของตนเอง
ผู้คนมากมายสาปแช่งหลิงฮันในใจ
แต่ก็มีใครบางคนโกรธถึงขนาดพุ่งตัวออกมาจากฝูงชน เจ้าหนูนี่บังอาจทำร้ายเทพธิดาในใจของพวกเขา ช่างสมควรตกตกตายไปนับร้อยรอบ!
หวังอีหยุนอดที่จะอุทานออกมาต่อหน้าฝูงชนไม่ได้ นี่เป็นการกระทำที่นางไม่เคยได้รับมาก่อน นางรู้สึกอับอายจนแทบจะมุดดินให้ตายๆไปเสียเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮันและยอมได้เพียงให้อีกฝ่ายจู่โจมบั้นทายของนาง
‘อ้ากก!’ นางคำรามด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร ร่างของนางสะบัดหันหลังและค่อยๆร่อนลงสู่พื้นพร้อมกับสีหน้าของนางที่กลับกลายมาเป็นเทพธิดาผู้แสนสงบนิ่งอีกครั้ง
“ยอมแพ้แล้ว?” หลิงฮันยิ้ม
ดวงตาอันงดงามของหวังอีหยุนอดไม่ได้ที่จะมองอย่างโกรธแค้นไปยังหลิงฮัน แต่ถึงอย่างนั้นนางจะทำอะไรได้? ถึงแม้ที่นี่จะมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่อีก แต่พลังต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากนางเท่าไหร่ เพราะงั้นในเมื่อนางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน นางก็เชื่อว่าคนอื่นๆก็ไม่สามารถโค่นล้มหลิงฮันได้เช่นกัน
นางฝืนระงับความโกรธและพยายามรักษาภาพลักษณ์ของเทพธิดาผู้แสนสงบนิ่งเอาไว้ “อีหยุนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน การประลองนี้ท่านเป็นฝ่ายชนะ”
หลิงฮันเลิกสนใจนางและไปด้วยพูดออกมารอยยิ้ม “มีใครยังต้องการห้ามไม่ให้ข้าออกไปจากที่นี่อีกไหม?”
ทุกคนล้วนแต่เงียบกริบ หลิงฮันแข็งแกร่งเกินไป เขาสมควรเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาด มีเพียงสุดยอดอัจฉริยะในหมู่รุ่นเยาว์อย่าง ย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อยเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับหลิงฮันได้ หากพวกเขาต่อต้านก็มีแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ
“ไปกันเถอะ พวกเราเปลี่ยนสถานที่กินดื่มกันดีกว่า!” หลิงฮันพูดกับจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิง
“ก็ดีเหมือนกัน!” ทั้งสองคนพยักหน้า
ผู้คนมากมายจ้องหลิงฮันเป็นฟืนเป็นไฟ นี่พอเจ้ากิน ดื่ม เล่นเสร็จแล้วเจ้าก็คิดจะปัดก้นและทิ้งความวุ่นวายเอาไว้เนี่ยนะ?
หวังอีหยุนก็อยากจะตะโกนด่าออกไปเช่นกัน แต่นางเป็นเจ้าของที่นี่และเป็นผู้จัดการงานเลี้ยงขึ้น นางไม่อาจผลีผลามทำอะไรตามอำเภอใจได้ “ทุกท่าน พวกเรามาพูดรายละเอียดเรื่องพันธมิตรกันต่อเถอะ…”
……
หลิงฮัน จักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงมาถึงยอดภูเขาแห่งหนึ่ง พวกเขานั่งลงบนแผ่นหินและนำไวน์ อาหารต่างๆออกมากินกันอย่างสนุกสนาน เมื่อหลิงฮันนำผลลูกพีชออกมาวางใส่จาน กลิ่นอันหอมหวนที่แผ่ซ่านออกมาก็ทำให้ทุกคนน้ำลายสอ
“อร่อย!” ฮูหนิวกล่าวในขณะที่เคี้ยวลูกพีชอยู่ในปาก ทั่วทั้งใบหน้าและมือเล็กๆของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำหวานของลูกพีช
ในทางกลับกัน จูเสวียนเอ๋อนั้นยังคงเคี้ยวอาหารในปากอย่างเชื้องช้า แสดงออกถึงความเป็นกุลสตรี
บุรุษทั้งสามคนที่นั่งอยู่ตรงนี้นั้นล้วนแต่เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน พวกเขาทั้งสามสาบานว่าเป็นพี่น้องกัน แน่นอนว่าจักรพรรดิพิรุณต้องเป็นพี่ใหญ่มู่หลงชิงเป็นพี่รอง ส่วนหลิงฮันนั้นเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดซึ่งทำให้เขารู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
มีเขามีชีวิตมาแล้วถึงสองรอบ อายุรวมๆแล้วของเขาเกินกว่าสองร้อยปีเสียอีก แต่ตอนนี้เขากลับต้องการเรียกชายหนุ่มอีกสองคนว่าพี่ชายใหญ่และพี่รอง! ในกรณีของ เฟิงโป๋วหยุนนั้นเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีอายุมากกว่าเขา เพราะงั้นเขาจึงไม่รู้สึกรันทดอะไร
แต่ความรู้สึกหดหู่ก็คงอยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้น ผ่านไปสักพักเขาก็คุ้นเคยกับจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิง
ในด้านของหวังอีหยุนนั้นถึงแม้ว่านางจะเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นไว้เป็นความลับ แต่ก็มีผู้คนมากมายที่เห็นเหตุการณ์ที่นางถูกโจมตีที่บั้นท้าย ดังนั้นข่าวจึงแพร่งพรายออกไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าข่าวที่แพร่ออกไปก็ต้องยิ่งเกินจริงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกเรื่องมีแค่การถูกจู่โจมที่บั้นท้าย แต่เมื่อข่าวหลุดออกไป ข่าวก็กลายเป็นว่าหวังอีหยุนถูกจับกดโดยหลิงฮัน และถูกพาไปร่วมกิจกรรมในยามค่ำคืนด้วยกัน เมื่อหวังอีหยุนกลับออกมา นางก็ไม่ได้สวมชุดเลยซักชิ้น
แต่พลังต่อสู้ของหลิงฮันเองก็ถูกยืนยันแล้วเช่นกัน ทุกคนลงมติกันว่าถ้าหากไม่ใช่อัจฉริยะที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักสวรรค์ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน
ด้วยเหตุนี้หลิงฮันจึงกลายเป็นศัตรูกับนิกายอัสนีบาตรสีครามอย่างสมบูรณ์ รวมถึงลูกศิษย์จากนิกายโบราณทั้งสี่ก็ตีตัวออกห่างเขาทำให้แผนการค้นหาแผนที่โบราณของเขาต้องระงับไว้ชั่วคราว
แต่เขาก็ได้มอบหมายภารกิจนี้ไปให้กับชางเย่แทน เพราะถึงอย่างไรแผนที่ที่เขาต้องการก็เป็นแค่แผนที่ธรรมดาในยุคโบราณ มันไม่ใช่แผนที่สมบัติที่หายากอะไร
สามวันต่อมา ช่วงเวลาอันสำคัญของจูเสวียนเอ๋อก็มาถึง
นางต้องการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน
ที่จริงนางสามารถทะลวงผ่านได้ตั้งแต่หนึ่งหรือสองเดือนก่อนแล้ว แต่หลิงฮันบอกให้นางสร้างรากฐานให้มั่นคงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะทะลวงระดับ เพราะอย่างไรระดับบุปผาผลิบานก็เป็นถึงการละทิ้งวัฏจักรแห่งความเป็นมนุษย์
เพราะว่าพลังปราณที่ต้องใช้ทะลวงผ่านมีจำนวนมหาศาล หลิงฮันจึงเตรียมเม็ดยาและสมุนไพรไว้ให้นางมากมาย ผ่านไปเพียงครึ่งวัน นางก็สามารถปลูกเมล็ดวิญญาณได้ และสามวันต่อมานางก็สามารถทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้สำเร็จ
จูเสวียนเอ๋อมีความสุขเป็นอย่างมาก การบรรลุระดับบุปผาผลิบานไม่ใช่แค่เป็นการก้าวหน้าในศาสตร์แห่งวรยุทธ แต่ยังได้รับอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกสองร้อยปีซึ่งทำให้ชราช้าลงอีกด้วย
นี่หมายความว่าใบหน้าของนางจะไม่แก่ชราและคงรูปลักษณ์อันอ่อนเยาว์ไปได้อีกหลายสิบปี
สำหรับสตรีแล้วจะมีอะไรสำคัญไปกว่าความงดงาม โดยเฉพาะกับสตรีที่งดงามล่มเมืองเช่นนางด้วยแล้ว
“เจ้าสร้างบุปผาอมตะในตันเถียนได้กี่ต้น?” หลิงฮันถาม เขากังวลเกี่ยวกับศักยะภาพในอนาคตของจูเสวียนเอ๋อมาก เพราะอย่างไรนางก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดจากภูมิภาคเหนือ เขาไม่อยากให้ตัวเขาเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของนาง
“สามต้น” จูเสวียนเอ๋อกล่าว ใบหน้าของนางถูกประดับด้วยความประหลาดใจ
ตามปกติแล้ว จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานจะสามาถสร้างบุปผาอมตะได้เพียงดอกเดียว หากเป็นอัจฉริยะจะสร้างได้สองต้น ซึ่งหากสร้างได้เกินสามต้นจะนับว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ
หลิงฮันพยักหน้า สามต้นนับว่านางมีศักยภาพไม่เลวเลย แต่สำหรับอัจฉริยะแห่งยุคอย่างย่าวหุยเยว่หรือราชันกระบี่น้อย พวกเขาจะต้องสร้างบุปผาผมตะได้มากกว่าสามต้นแน่นอน
แต่ถึงอย่างไรหลิงฮันก็เชื่อมั่นว่าขีดจำกัดที่สามารถสร้างได้สูงสุดคือสิบต้น และที่เขามีบุปผาผลิบานได้ถึงสิบต้นก็เป็นเพราะเขามีแก่นแท้จิตวิญญาณสองอัน ซึ่งเขาเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีใครอื่นแล้วที่ทำได้เช่นเขา