Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 652
“ข้าต้องไปหาหม่าตั้วเป่าอีกครั้ง!” หลิงฮันกล่าว
ในความเป็นจริง นี่เป็นความจริงเพียงด้านเดียวของจื่อเสวี่ยนเซียน แต่หลิงฮันได้เห็นความทรงจำของนางจากผลึกความทรงจำ และมันสามารถอธิบายข้อสงสัยที่อยู่ในใจของเขามานานได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลเลือกที่จะเชื่อ
“การเปิดสวรรค์เป็นวิธีเดียว แต่อย่างแรกต้องก่อตั้งแคว้นขึ้นมาก่อน” หลิงฮันคิดอยู่ในใจ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาชื่นชอบความเป็นอิสระ ซึ่งนี่จะทำให้เขากลายเป็นจักรพรรดิ
“เพื่อพ่อแม่ เพื่อสหาย เพื่อเสวี่ยนเอ๋อ ข้าจะต้องทำมัน!”
หลิงฮันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“อย่างไรก็ตาม ถ้าข้ารีบร้อนที่จะก่อตั้งแคว้น มันมีแต่จะทำให้ห้านิกายใหญ่เกิดความสงสัย แม้ว่าจะมีหอคอยทมิฬ แต่เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งแคว้นจะปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะเอาชนะหัวใจของผู้คนได้อย่างไร?”
“สะสมผลผลิต และค่อยๆกลายเป็นราชา!”
“ข้าต้องไปที่สำนักสวรรค์ก่อนเป็นอันดับแรก ที่นั่นอย่างน้อยก็มีอัจฉริยะอย่างน้อยเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จากอัจฉริยะทั้งโลก ถ้าข้าสามารถชักนำพวกเขาได้ ตราบใดที่ข้ามีความแข็งแกร่ง ข้าสามารถพลิกโลกได้ในชั่วข้ามคืน”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว คนพวกนั้นไม่ได้มีแค่พรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังมาจากขุมพลังและตระกูลต่างๆ ถ้าข้าได้พวกเขาเข้ามาเป็นพวกก็จะได้รับผู้คนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเข้ามาเป็นพวกเช่นกัน และมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการก่อตั้งอาณาจักร”
“ดังนั้น อย่างแรกข้าจะต้องเปิดเผยสถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์ของข้าเสียก่อน อย่างที่สองเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองให้ผู้อื่นเห็น”
“ถ้าข้าต้องการโน้มน้าวคนหนุ่มสาว ข้าจะต้องสร้างผลประโยชน์ให้แก่พวกเขามากพอหรือสยบพวกเขาด้วยความแข็งแกร่ง”
“ข้าสามารถทำได้ทั้งสองอย่าง”
“บางขุมพลังต่อสู้เพื่อมัน บางขุมพลังไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเป็นสุนัขวิ่งตามห้านิกายใหญ่อยู่…ข้าจะไม่พูดเรื่องการก่อตั้งแคว้นจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายและไม่พูดถึงแผนการที่ชั่วร้ายของห้านิกายใหญ่ ที่สำคัญจะมีเพียงคนที่เชื่อถือได้เท่านั้นที่สามารถมีส่วนร่วมในเรื่องนี้”
“จักรพรรดิพิรุณและมู่ชิงหรงสามารถเข้าร่วมได้ พี่ใหญ่เฟิงเย่วก็เช่นกัน – ข้าหวังว่าพี่ใหญ่เฟิงเย่วจะไม่ผลีผลามเกินไป แม้เขาจะเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติก็ตาม นั่นเป็นเพราะเขาเป็นแค่จอมยุทธระดับทลายมิติขั้นสองเท่านั้น ถ้าเขาออกไปเผชิญหน้ากับห้านิกายใหญ่เพียงลำพัง ผลที่ตามมาจะไม่สามารถคาดคิดได้!”
“ข้าต้องระมัดระวังให้มาก มิฉะนั้นอาจเกิดเหตุการเดียวกับที่จื่อเสวี่ยนเซียนประสบ ก่อนที่จะเปิดสวรรค์ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือห้านิกายใหญ่ ข้าจะต้องกำจัดพวกมันก่อน จากนั้นใช้ประโยชน์จากพวกมันเพื่อเปิดสวรรค์และพาทวีปเทียนฮงไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
แผนการนี้เกิดขึ้นภายในใจของหลิงฮัน เขากำหมัดแน่นและพร้อมที่จะปะทะ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าศัตรูนั้นเป็นใคร และดาบของเขาควรฟาดฟันไปที่ไหน
“หลิงฮัน ที่นี่ไม่เห็นจะสนุกเลย พวกเราไปกันเถอะ” ฮูหนิวกระโดดเข้าใส่หลิงฮันและจูบหลิงฮันด้วยรอยยิ้ม
หลิงฮันหัวเราะและกอดฮูหนิว ถ้าเพื่อเด็กสาวตัวน้อยคนนี้แล้ว เขายินดีที่จะต่อสู้กับสวรรค์และโลกและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นหลิงฮันพยักหน้าและหันไปมองที่กำแพงหินที่มีด้ามจับอยู่ ซึ่งตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องเลือกภาพของจื่อเสวี่ยนเซียนเพื่อเปิดประตูเหมือนก่อนหน้านี้
ส่วนหนังสือที่จื่อเสวี่ยนเซียนทิ้งไว้ถูกเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬ สำหรับหลิงฮันแล้ว เขารู้สึกประทับใจนางมาก
เพื่อผลประโยชน์ของทุกคนบนโลก นางยอมที่จะหักหลังตระกูลของตัวเองและตั้งตัวเป็นศัตรู จนกระทั่งจบชีวิตลง
นางเป็นผู้หญิงที่ประเสริฐมาก!
นางควรเป็นที่จดจำสำหรับทุกคนบนโลกเมื่อเปิดสวรรค์สำเร็จ ผู้กอบกู้ตัวจริงคือจื่อเสวี่ยนเซียน
แคร๊ก แคร๊ก ประตูหินเปิดออกอย่างช้าๆ
“ประตูเปิดแล้ว!”
“มันจะต้องเป็นคลังสมบัติแน่นอน!”
ทันใดนั้น คนเจ็ดคนรีบวิ่งกันเข้ามา และในขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไป พวกเขาได้ต่อสู้กันเอง
แต่เมื่อพวกเขาเห็นหลิงฮัน ฮูหนิว และกระต่ายขาวอยู่ในห้องหิน พวกเขาหยุดต่อสู้กันทันทีและชี้ไปที่พวกหลิงฮันด้วยอาวุธ เห็นได้ชัดว่าหลิงฮันได้รับสมบัติภายในห้องหินไปแล้ว
“วางแหวนมิติของเจ้าไว้ แล้วเจ้าจะได้กลับไปพร้อมกับชีวิต” ชายคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาดูมีอายุประมาณสามสิบปีและปลดปล่อยพลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
หลิงฮันยิ้ม เขายกมือขึ้นและพูดว่า “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้าข้าไม่มีแหวนมิติ?”
“สิ่งใดก็ตามที่สร้างช่องมิติได้จงทิ้งมันเอาไว้!” ชายอีกคนกล่าว เขาสวมชุดสีแดง ซึ่งดูร้อนแรงมาก
“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าทิ้งไว้และออกไปให้พ้น” ชายชราอายุประมาณหกสิบปีกล่าว เขาจ้องมองไปที่ส่วนล่างของหลิงฮันด้วยแววตาชั่วร้าย
ชายชราโรคจิต!
สีหน้าของหลิงฮันมืดมนขึ้นมาทันที พรึบ เขากระโจนไปข้างหน้า เมื่อประกายแสงของสายฟ้ากระพริบ เขาก็มาอยู่เบื้องหน้าของชายชราแล้ว พร้อมกับสะบั้นดาบออกไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะใดๆทั้งสิ้น เพราะเขาแทงไปที่หัวใจของชายชราโดยตรง
ชู่ว โลหิตสาดกระจายออกมา ชายชราจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยสายตาที่ไม่อย่างจะเชื่อ เขาเป็นถึงจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ผลลัพธ์คือเขาถูกฆ่าด้วยดาบเดียว ซึ่งทำเขาไม่อาจยอมรับความตายนี้ได้
หลิงฮันดึงดาบกลับมา ชายชราทรุดตัวล้มลงกับพื้น เขายิ้มและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “มีใครยังอยากได้สมบัติอีกหรือไม่?”
คนที่เหลืออยู่หกคนรีบส่ายหน้าทันทีพูดว่านี่เป็นแค่เรื่องล้อเล่น พวกเขาแต่ละคนมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าชายชราที่ถูกฆ่าไป แต่หลิงฮันสามารถจัดการเขาได้ด้วยดาบเดียว นี่ถ้าเขาจะจัดการทั้งหกคนไม่ใช่ว่าหกดาบก็เพียงพอแล้วหรอกหรือ?
เพื่อสมบัติ พวกเขาสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ แต่เมื่อมีชีวิตเป็นเดิมพัน…ลืมเรื่องสมบัติไปซะ
“ไม่อีกแล้ว! ไม่อีกแล้ว!”
“ใช่แล้ว แม้ว่าสมบัติจะไม่มีเจ้าของ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนมาก่อน แน่นอนว่ามันจะต้องตกเป็นของเจ้า”
“ถ้างั้นพี่ชาย พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”
ทั้งหกคนไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เพราะเกรงว่าหลิงฮันจะฆ่าพวกเขา นั่นเป็นเพราะเขาฆ่าไปคนหนึ่งแล้วจะฆ่าอีกคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป?
หลิงฮันไม่ได้ฆ่าคนที่เหลือ และปล่อยให้พวกมันออกไป ตอนนี้เขามีความคิดบางอย่าง เขาตัดสินใจที่จะสร้างชื่อเสียงของตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่น้อยไปกว่าย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อย
จากนั้นหลิงฮันเดินออกจากห้องหินเหมือนกัน
ตอนนี้ เขาได้รับอสนีเมฆาม่วงแล้ว และรู้ความจริงที่จื่อเสวี่ยนเซียนทิ้งเอาไว้แล้ว จึงไม่มีค่าอีกต่อไปที่จะอยู่ที่นี่
หลิงฮันจากไปพร้อมกับฮูหนิวเข้าไปในหอคอยทมิฬ เขาวางแผนที่จะหลอมรวมเข้ากับอสนีเมฆาม่วงเพื่อสร้างร่างสายฟ้า แล้วควบแน่นรัศมีดาบและกายาเพชร
ส่วนเจ้ากระต่ายนั้นวิ่งพล่านไปทั่ว หลิงฮันไม่ต้องการมันให้ล่วงรู้ความลับของหอคอยทมิฬ
หลังจากที่กอดกับจูเสวี่ยนเอ๋อและพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด หลิงฮันก็เริ่มหลอมรวบเข้ากับอสนีเมฆาม่วง