Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 658
หลังจากหายตกตะลึง กั้วเหลียงไฉก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากที่มีเมล็ดพันธ์อัจฉริยะปรากฏตัว ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องรับหลิงฮันเข้านิกายกระบี่ไร้เทียมทานให้ได้
ถึงแม้สำนักสวรรค์จะเป็นการรวมตัวกันของนิกายโบราณทั้งห้า แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่นิกายเดียวกันอยู่ดี แน่นอนว่าพวกเขาต้องการให้ลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาอยู่นิกายของตน
“ยอดเยี่ยม!” กั้วเหลียงไฉพยักหน้าไม่หยุด “ชายชราผู้นี้จะจดจำเจ้าเอาไว้!”
หลิงฮันยิ้มจางๆ กั้วเหลียงไฉเป็นจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาขั้นห้าและมีพลังต่อสู้เก้าดาว ซึ่งหลิงฮันในตอนนี้สามารถอาชนะได้ เพราะงั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องพูดตอบโต้ไว้หน้ากับอีกฝ่าย
ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่ชอบคนของนิกายโบราณทั้งห้าอีกด้วย
พวกหลิงฮันสามคนผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น และเนื่องจากเจ้ากระต่ายมักจะพูดเองว่าตนเองมีอายุร้อยกว่าปีแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ได้เข้าร่วมทดสอบ
หลิงฮันไม่ได้นำเจ้ากระต่ายเข้าไปในหอคอยทมิฬ เพราะเกรงว่ากระต่ายหัวขโมยตัวนี้จะฉกชิงสมุนไพรในหอคอยทมิฬไปหมด
หลังจากผ่านการทดสอบกระดูกแล้ว การทดสอบต่อไปก็ไม่อาจเริ่มได้ทันทีเพราะต้องรอคนอื่นก่อนตามเวลาที่กำหนด
พวกหลิงฮันเดินมาถึงพื้นที่กว้างแห่งหนึ่งซึ่งมีคนมากกว่าสามหมื่นคนมารวมตัวกัน การทดสอบกระดูกจะใช้เวลามากกว่าครึ่งวัน เมื่อถึงตอนนั้นจำนวนคนจะมากกว่านี้อีก
น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทำให้สร้างอัจฉริยะได้ถึงขนาดนี้!
ถ้าเป็นในชีวิตที่แล้วของเขา อัจฉริยะที่ยืนอยู่ที่นี่คงมีแค่ประมาณหนึ่งพันคน
เป็นจำนวนที่แตกต่างอะไรเช่นนี้
หลิงฮันไม่ได้ไปรวมตัวกับจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิง แต่ใครบางคนกลับเอ่ยทักทายเขา
“หลิงฮัน?” ฉินหยีเย่วปรากฎตัวและจ้องมองเขาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่มั่นใจ นั่นเพราะตอนนี้หลิงฮันไม่ได้แปลงโฉมแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงฮันเป็นที่โดดเด่นและน่าจดจำคือฮูหนิว นอกจากเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดคนนี้แล้ว จะมีเด็กคนอื่นผ่านการทดสอบจนมายืนอยู่ที่นี่ได้อีกรึ?
“ไม่ได้พบกันนาน” หลิงฮันพยักหน้าและยิ้ม
“เป็นเจ้าจริงๆ!” ฉินหยีเย่วมั่นใจ จากนั้นนางก็มองมายังเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า?”
ฉินหยีเย่วตกตะลึงและกล่าว “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะอายุน้อยเช่นนี้!”
“ขอบคุณ” หลิงฮันยิ้ม
“น้องชายหลิง!” คู่พี่ชายน้องสาวหลี่เฟิงหยู่และหลี่ซือเชียนเองก็ปรากฏตัวขึ้นมาและทักทายหลิงฮันเช่นกัน
“เป็นอย่างไรกันบ้าง” หลิงฮันพยักหน้าทักทายกลับ
“นั่นมัน…” เมื่อหลี่เฟิงหยู่เห็นฉินหยีเย่ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายและรีบก้าวเดินเข้าไปอีกสองก้าว “แม่สาวงาม ข้าคือหลี่เฟิงหยู่ผู้สง่างามและหล่อเหลา”
“หล่อเหลาหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ฝีปากของเจ้าไม่เป็นสองรองใครแน่นอน” ฉินหยีเย่วยิ้ม
“เขาเป็นชายผู้ถูกเรียกว่าหลี่ปากกว้าง การพูดนินทาคือเรื่องถนัดของเขา” หลิงฮันพูดเปิดเผยธาตุแท้ของอีกฝ่าย
“ว่าไงนะ!” หลี่เฟิงหยู่ไม่พอใจ “ข้าไม่ได้เก่งแค่คำพูดคำจาเสียหน่อย แม้แต่การร้องเพลงข้าก็นับว่าเชี่ยวชาญ”
“ท่านพี่ พูดน้อยๆหน่อย!” หลี่ซือเชียนรู้สึกอับอาย พี่ชายของของนางคนนี้มักจะทำให้นางรู้สึกขายหน้าอย่างมาก!
“น้องสาว ผมของเจ้าดูงดงามจัง” ฉินหยีเย่วก้าวไปหาหลี่ซือเชียน ผู้หญิงนั้นมีวิธีการพูดคุยกับผู้หญิงด้วยกันเอง ภายในพริบตาจูเสวียนเอ๋อก็เข้าไปร่วมวงกับพวกนาง หญิงสาวทั้งสามพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หลิงฮันมองเห็นชางเย่และเหอหลันหยุนที่กำลังเดินตามพวกเขามา แต่หลิงฮันได้ส่ายหัวให้ชางเย่ เพื่อเป็นสัญญาณว่าห้ามเข้ามาทักทายเขา
“ดูนั่น เหวินเหรินเชียนเชียนมาแล้ว!”
ทุกคนจ้องเป็นตาเดียวกัน เหวินเหรินเชียนเชียนคืออัจฉริยะของนิกายหยางไพศาลที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเผยความสามารถให้ใครเห็นมาก่อนและเพิ่งจะมาเป็นที่รู้จักเมื่อไม่นานมานี้ นางมีศักยะเทียบได้กับสุดยอดอัจฉริยะอย่างย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อย
“งดงามยิ่งนัก นางดูราวกับเป็นเทพธิดาเลย”
“ข้าเห็นด้วย คงมีเพียงธิดาอีหยุนเท่านั้นที่จะเทียบนางได้”
“นี่เจ้าลืมตงหลิงเอ๋อไปรึเปล่า?”
“จริงด้วย ตงหลิงเอ๋อคือสตรีที่งดงามที่สุดอันดับหนึ่งไม่มีสอง ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงกับนางได้”
ทุกคนเห็นด้วยราวกับถูกครอบงำ
หลิงฮันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ตงหลิงเอ๋อนั้นงดงามขนาดไหนกันถึงได้ทำให้อัจริยะมากมายหลงไหลขนาดนี้
นอกจากนี้หลิงฮันยังเห็นหลูหยวนจือที่ถือดาบไม้ในหมู่ผู้ผ่านการทดสอบกระดูกอีกด้วย ร่างของเขาดูมั่นคงราวกับใบดาบ
หากพูดถึงคนที่จะสร้างแก่นแท้ดาบได้ในอนาคต ชื่อของชายคนนี้จะต้องติดอยู่ในรายชื่อที่ถูกกล่าวถึงแน่นอน
ยึดมั่นในดาบราวกับคนบ้า ในจิตใจของอีกฝ่ายคงไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากดาบ อัจฉริยะที่ทั้งมีพรสวรรค์และความพยายามเช่นนี้ ความสำเร็จในอนาคตจะต้องน่าทึ่งแน่นอน
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในช่วงเช้า สำนักสวรรค์ก็ประกาศถึงการเริ่มทดสอบรอบแรก
พวกเขามีเวลาทั้งหมดสามวัน พวกเขาต้องเดินผ่านภูเขาสามเขาเพื่อไปยังหุบเขาที่เรียกว่าหุบเขาผนึกภูติ ถ้าพวกเขาไปถึงที่นั่นได้ภายในสามวันพวกเขาก็จะผ่านเข้าสู่การทดสอบต่อไป แต่ถ้าเลยสามวันไปแล้ว พวกเขาก็ต้องถูกตัดสิทธิ์
ในการทดสอบรอบแรกนั้นห้ามทุกคนโจมตีใส่กัน ใครที่ไม่ทำตามกฎจะถูกขับออกจากการทดสอบทันที ส่วนในรอบที่สองนั้นสามารถโจมตีกันได้ แต่ห้ามสังหาร เพราะทุกคนถือว่าเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์เช่นเดียวกันแล้ว
ระหว่างการทดสอบมีสายตาของตัวตนระดับสูงคอยสอดส่องความเป็นไปอยู่
เมื่อกฎถูกบอกแล้ว ทุกคนจึงเริ่มออกเดินทางพร้อมกัน
หลิงฮันพยักหน้าให้กับฉินหยีเย่วและหลี่เฟิงหยู่ จากนั้นก็พาฮูหนิวและจูเสวียนเอ๋อออกเดินทางเข้าไปในป่า
“หืม?”
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ในป่าแห่งนี้มีคลื่นลมที่มองไม่เห็นซัดเข้ามาใส่ร่างของเขาจากด้านซ้ายไปทางขวา โชคดีที่ร่างกายของเขานั้นทรงพลัง เขายืนโต้คลื่นที่ซัดเข้ามาราวกับเป็นขุนเขาที่ไม่อาจถูกทำให้เคลื่อนที่
ทางด้านจูเสวียนเอ๋อนั้นถูกพัดจนร่างลอย แต่หลิงฮันก็ยื่นมือคว้านางเอาไว้อย่างรวดเร็ว จูเสวียนเอ๋อจึงใช้โอกาสนี้เอนร่างตัวเองเข้าสู่อ้อมกอดหลิงฮัน ใบหน้าอันงดงามของนางเต็มไปด้วยเขินอาย แต่ก็มีความสุข
ฮูหนิวหัวเราะและกระโดดโลดเต้นไปตามคลื่นลม ร่างของนางก็เกือบจะถูกพัดลอยเหมือนกัน แต่นางได้เปลี่ยนร่างของตัวเองให้กลายเป็นสายฟ้าและกลับมาปรากฏตัวข้างๆหลิงฮัน
“สตรีอัปลักษณ์ ถอยห่างออกจากหลิงฮันซะ!” เด็กสาวคำรามด้วยความรู้สึกอิจฉา
หลิงฮันอุ้มฮูหนิวขึ้นมากอดเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กสาวจึงไม่บ่นอะไรต่อ
‘พรึบ’ จู่ๆคลื่นลมก็เปลี่ยนไป คราวนี้มันเปลี่ยนมาซัดจากด้านหน้าแทน แต่ผ่านไปอีกซักพักมันก็เปลี่ยนไปเป็นด้านหลัง ด้านซ้าย การเปลี่ยนแปลงทิศทางของมันเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก
ไม่แปลกใจเลยทำไมจึงให้เวลาเดินผ่านภูเขาถึงสามวัน ที่แท้ที่นี่ก็มีคลื่นลมที่ซัดร่างให้ปลิวได้นี่เอง เขาเชื่อว่าสำหรับจอมยุทธส่วนใหญ่นั้นไม่ต้องกล่าวถึงสามวันเลย ขนาดให้เวลาหนึ่งเดือนพวกเขาก็ไม่สามารถผ่านไปได้
ถ้าผ่านภูเขาไปได้ภายในสามวัน เจ้าก็จะได้เป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์ มีรึที่การทดสอบจะง่าย?