Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 660
หลิงฮันพิจารณาอย่างรอบคอบ
หลิงฮันรู้สึกมีความสุขที่ทำให้ห้านิกายโบราณสับสน ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีผู้คนเข้าร่วมสำนักสวรรค์ได้มากเท่าไหร่ ขุมกำลังที่หลิงฮันจะดึงดูดเข้ามาเป็นพวกได้นั้นยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เป้าหมายของเขาคือการสร้างราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่และรวมทวีปฮงเทียน
ไม่สนว่าข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร ข้าเกิดมาเพื่อพิชิต
แต่หลิงฮันไม่กล้าที่จะผลีผลามเกินไป มิฉะนั้นเขาจะถูกสำนักสวรรค์ล่วงรู้ว่าเขาทำอะไร ตอนนี้เขาทำได้แค่แอบทำและไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไร
หลังจากเก็บธงได้ทั้งหมดสิบสองผืน หลิงฮัน จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวก็ได้มุ่งหน้าไปที่หุบเขาผนึกภูติ เมื่อพวกเขามาถึง มันก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว และมีบางคนที่มาเร็วกว่าพวกเขา ก่อนที่การทดสอบรอบที่สองจะเริ่มต้นขึ้น
ตราบใดที่พวกเขามาถึงที่นี่ภายในสามวัน พวกเขาจะมีสิทธิ์เข้าร่วมสำนักสวรรค์และยิ่งพวกเขาได้รับหินมามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้น
“ฮูหนิว พวกเรามาปล้นคนอื่นกันเถอะ!” หลิงฮันยิ้ม
“อืม!” ฮูหนิวพยักหน้ารับและรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ส่วนจูเสวี่ยนเอ๋อเพียงแค่ยิ้มออกมาและจ้องมองหลิงฮันอย่างอ่อนโยน
“พี่ใหญ่และพี่รอง พวกเขาน่าจะมาถึงนานแล้ว” หลิงฮันกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าการเก็บเกี่ยวของพวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง”
ขณะที่พวกเขาเดินได้อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ รอบตัวพวกเขามีแต่หมอกและสภาพแวดล้อมมืดมนมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงมีชื่อว่าหุบเขาผนึกภูติ
“หลิงฮัน! หลิงฮัน!” เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังและฉินหยีเย่วเดินมาหาพวกเขา
“โอ้ว บังเอิญอะไรขนาดนี้!” หลิงฮันยกมือทักทาย
“หืม ตอนนั้นเจ้าไม่ได้วิ่งนำข้า แต่ทำไมเจ้าถึงมาก่อนข้าอีก?” ฉินหยีเย่วคิดว่ามันแปลกมาก
“ทางที่ข้าเดินมานั้นไม่ค่อยมีอุปสรรคมากนัก ดังนั้นข้าเลยมาถึงเร็วกว่าเจ้านิดหน่อย” หลิงฮันกล่าว
ฉินหยีเย่วรู้ว่านี่เป็นเรื่องโกหก ใครเชื่อก็แปลกแล้ว! อย่างไรก็ตาม ความสนใจของนางหันเหไปที่หุบเขาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าหุบเขาผนึกภูติแห่งนี้มีภูติถูกปิดผนึกอยู่จริงๆ”
“จริงหรือ?” จูเสวี่ยนเอ๋อถามออกมาอย่างกะทันหันด้วยความอยากรู้
“แน่นอนมันคือเรื่องจริง ว่ากันว่าเป็นภูติที่น่าสะพรึงกลัวและดุร้ายเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน” ฉินหยีเย่วด้วยเสียงทุ้มให้ดูน่าหวาดกลัว ซึ่งทำให้จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกกลัวมาก
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “จอมยุทธระดับทลายมิติมีอายุขัยแค่พันกว่าปี แล้วมันจะเป็นภูติแบบไหนกันถึงแข็งแกร่งขนาดมีอายุขัยได้นับหมื่นปี?”
“เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้นหรอก ภูติและมนุษย์จะเหมือนกันได้อย่างไร?” ฉินหยีเย่วกล่าว
“แล้วมันแตกต่างกันยังไง?” หลิงฮันยิ้ม
ฉินหยีเย่วจะตอบได้อย่างไรและพูดตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ใช่ภูติ แล้วข้าจะรู้ได้ยังไง!”
หลิงฮันไม่พูดจาล้อเล่นอีกต่อไปและพูดว่า “ยังไงก็ตาม ถ้ามีภูติอยู่ที่นี่จริง ข้าก็อยากเห็นเหลือเกิน”
“หนิวเองก็อยากเห็น” ฮูหนิวพูดตามหลิงฮัน
จากนั้นพวกเขาทุกคนเดินไปข้างหน้าต่อ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พบสองพี่น้องหลี่ และพวกเขาได้รวมกลุ่มกับหลิงฮันและก่อตั้งกลุ่มเล็กๆขึ้นมา
“บรรยากาศมืดมนแบบนี้ที่นี่จะต้องมีภูติผีอยู่แน่นอน” หลี่เฟิงหยู่กล่าว
“นี่เจ้ายังจะพูดจาแบบนั้น!” ทุกคนกล่าว ที่เขาพูดมันน่าขนลุกเล็กน้อย
ยิ่งพวกเขาเดินลึกมากเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมโดยรอบยิ่งมืดมนและหดหู่มากยิ่งขึ้น ราวกับว่าที่นี่เป็นดินแดนของภูติผี
“หืม นั่นอะไรน่ะ?” หลี่เฟิงหยู่ชี้ไปที่ถนนด้านหน้า
“กระดูก” ฮูหนิวมีสายตาที่แหลมคมนางจึงมองเห็น
พวกเขาเดินไปดูและเห็นว่ามันเป็นกระดูกจริงๆ พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นของมนุษย์หรือสัตว์อสูร แต่พวกเขารู้ว่าเจ้าของกระดูกชิ้นนี้ตายมาหลายปีแล้ว และตอนนี้มันกำลังส่องแสงอยู่ราวกับสมบัติ
“นี่เป็นกระดูกของมนุษย์” ฉินหยีเย่วกล่าวด้วยความมั่นใจมาก
หลิงฮันพยักหน้า นี่จะต้องเป็นกระดูกของมนุษย์อย่างแน่นอน มันมีร่องรอยของพลังอยู่ แต่ตอนนี้สามารถมองเห็นได้เพียงรางๆ
“แม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครสามารถดำรงอยู่เหนือไปกว่ากฎของเวลา” เขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เจ้าของกระดูกนี่อย่างน้อยต้องเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ แล้วมันยังไงล่ะ? ผ่านไปหลายหมื่นปี ตัวตนระดับนั้นหลงเหลือเพียงแค่กองกระดูกสีขาวเท่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านล่วงเลยไปอีกอาจกลายเป็นฝุ่นที่หายไปจากสวรรค์และปฐพีอย่างสมบูรณ์
“หืม ดูเหมือนว่ากระดูกกำลังส่องแสง!” หลี่เฟิงหยู่รู้สึกสงสัย และลงมือขุดกระดูก แต่เมื่อมือของเขาเพิ่งจะสัมผัสกับกระดูก แสงสว่างจ้าพุ่งออกมา
เขารู้สึกตกใจและกระโดดไปด้านหลังทันที
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนรู้สึกตกใจมาก โครงกระดูกกำลังเคลื่อนไหว?
แคร๊ก แคร๊ก พื้นดินเริ่มแตกร้าวและมีแขนยื่นโผล่ออกมา และตามด้วยโครงกระดูกที่โผล่ออกมาจากพื้นดิน หินบนอกของมันกำลังส่องแสง
นั่นคงไม่ใช่หินที่พวกเขาต้องรวบรวมหรอกใช่ไหม?
ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็รู้ความลับของโครงกระดูกว่ามันเคลื่อนไหวอีกครั้งได้อย่างไร ดูเหมือนว่าก้อนหินนั่นจะเปลี่ยนโครงกระดูกเป็นหุ่นเชิดแล้วเคลื่อนไหวภายใต้การควบคุมของมัน
โครงกระดูกปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังมากออกมา นั่นเป็นเพราะก่อนที่จะตายมันเคยเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งมาก่อน แม้จะตายไปแล้วกลิ่นอายของมันยังไม่หมดหายไป
“จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง” ทุกคนพยักหน้า
“ฆ่ามัน!” ฮูหนิว
โครงกระดูกนั่นแข็งแกร่งมาก และได้รับความแข็งแกร่งจากหินที่อยู่บนอก ซึ่งทำให้มันมีพลังเทียบเท่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง อย่างไรก็ตามหากนำหินที่อยู่บนอกของมันออก มันจะกลายเป็นโครงกระดูกธรรมดา
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับหินบนอกนั่นมา แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ฮูหนิวไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหิน ซึ่งหมายความว่านางกำลังจะต่อสู้กับโครงกระดูกโดยตรง เปรี๊ยง เปรี๊ยง เปรี๊ยง นางโคจรพลังสายฟ้าและหลังจากที่โจมตีออกไปแต่ละครั้ง โครงกระดูกสั่นสะเทือนราวกับว่ามันจะแตกกระจาย
ทุกคนราวกับถูกตบหน้า เด็กสาวตัวน้อยช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก นางต้องการฆ่าโคงกระดูกที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการมัน และใบหน้าแดงด้วยความเขินอายที่ไม่อาจเทียบกับเด็กสาวตัวน้อยได้
หลังจากนั้นไม่นาน โครงกระดูกนั่นก็ถูกฮูหนิวทุบตี
เด็กสาวตัวน้อยหยิบหินขึ้นมาและวิ่งกลับไปหาหลิงฮัน และหลิงฮันลูบหัวนางเป็นรางวัล ซึ่งทำให้เด็กสาวตัวน้อยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ทุกคนรู้สึกว่าหลิงฮันเป็นคนที่โชคดีมากที่มีเด็กสาวตัวน้อยแข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่เคียงข้าง
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พบโครงกระดูกอีกตัว มันปรากฏตัวออกมาจากพื้นดินและมีหินส่องแสงอยู่บนอก
ครั้งนี้หลิงฮันเป็นคนจัดการ เขาโจมตีมันโดยตรง เพราะไม่มีความหมายที่จะต่อสู้ให้ยืดเยื้อ เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาต่างใช้มือปิดปากและอุทานออกมาด้วยความตกใจ