Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 690
หลิงฮันรู้สึกชื่นชมพี่ชายคนนี้อย่างมากและอยากจะทำมุกสิ่งเพื่อให้เฟิงโปหยุนแข็งแกร่งขึ้น น่าเสียดายที่ทักษะศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถส่งต่อกันได้ ไม่เช่นนั้นด้วยระดับพลังของเฟิงโปหยุน ทักษะศักดิ์สิทธิ์จะสำแดงอำนาจได้ยอดเยี่ยมกว่านี้
แต่ถึงอย่างไรหลิงฮันก็มอบหยดวิญญาณบางส่วนที่ไม่ได้เจือจางให้กับเฟิงโปหยุน
หยดวิญญาณเป็นสิ่งที่หายากมาก หลิงฮันมีมันอยู่ในครอบครองเพียงขวดเล็กๆเท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ ด้วยชามพลิกสวรรค์ ในอนาคตหลิงฮันจะสามารถกลั่นพลังงานจากสมุนไพรออกมาเป็นหยดวิญญาณได้อย่างในจำกัด
เฟิงโปหยุนเปิดจุกขวดและสูดดม เขาอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ “สิ่งนี้คือสมบัติชั้นยอด แม้แต่ข้าในตอนนี้ก็ยังดูดซับมันได้เพียงหนึ่งหยดเล็กๆ หากมากกว่านั้นจะเกิดอันตรายได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรพลังงานอันบริสุทธิ์นี้ก็มีประโยชน์ต่อข้ายิ่งนัก! ขอขอบใจเจ้ามากน้องสอง!”
แม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติก็ยังหวั่นไหว นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าหยดวิญญาณเป็นสมบัติระดับที่สูงขนาดไหน
หลิงฮันเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเขตแดนลี้ลับสิบสองพระราชวังและอสูรขนแดงในวิหารให้กับเฟิงโปหยุนฟัง
เมื่อได้ยินแม้แต่ตัวตนระดับเฟิงโปหยุนก็ยังต้องส่ายหัว “โลกใบนี้ชักจะน่าตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว” ดวงตาของเขาส่องประกายแห่งการสู้รบ
หลังจากการตายของคนรักของเขา สิ่งเดียวที่เฟิงโปหยุนเหลืออยู่ก็คือวิถีแห่งดาบ และตอนนี้เขาก็บ่มเพาะพลังมาจนเกือบจะถึงจุดสูงสุดของมนุษย์แล้ว หากเขาบรรุได้สำเร็จเขาก็จะไร้พ่ายในโลกใบนี้ แต่ตอนนี้ได้มีตัวตนที่แข็งแกร่งมากมายปรากฏตัวอกมา ไฟแห่งการต่อสู้ในใจของเขาจึงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
หลิงฮัน เฟิงโปหยุน จูเสวียนเอ๋อและฮูหนิว ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปยังเมืองจักรพรรดิของจักรพรรดิจันทราม่วง หลังจากผ่านไปสิบวันในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเป้าหมาย เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยบรรพกาล แต่ทุกๆหนึ่งหมื่นปีสวรรค์และปฐพีก็จะถูกชำระล้าง ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังทลายหายไปและถูกสร้างขึ้นมาใหม่
ในเมื่อพวกเขามาถึงจุดหมายแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอีกต่อไป อันดับแรกพวกเขาได้เดินหาร้านอาหารเพื่อสั่งสุราและเครื่องดื่มอร่อยๆมากินกันก่อน
ตั้งแต่ที่พวกเขาเดินทางมา กลุ่มของพวกเขาได้กลายเป็นจุดสนใจจากผู้คนรอบข้าง เหตุผลก็ง่ายมาก นั่นเพราะจูเสวียนเอ๋อได้เปลี่ยนโฉมกลับไปเป้นไปหน้าเดิมของนางแล้ว ด้วยความงามอันไร้ที่ติของนาง เป็นธรรมที่จะทำให้ทุกคนหันมามองโดยไม่รู้ตัว
“นี่นี่นี่ สาวน้อยน่ารักคนนั้นน่ะ!” เสียงอันน่าหลงใหลเสียงหนึ่งดังขึ้นจากโต๊ะตัวหนึ่ง
มีผู้คนมากมายที่จ้องมองจูเสวียนเอ๋อ แต่พวกเขาก็แค่มองไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร มีเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่มีคนเอ่ยปากพูดออกมา แต่หลิงฮันก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรเพราะเสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงของสตรี
เจ้าของเสียงคือสตรีที่งดงาม นางมีผมและริมฝีปากที่แดงราวกับเปลวเพลิง นางเป็นสตรีร่างสูงกว่าสตรีทั่วไป เสน่ห์ที่นางปลดปล่อยออกมานั้นยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
แต่ที่น่าแปลกก็คือทั้งที่มีสตรีที่งดงามขนาดนี้นั่งอยู่ แต่ทุกคนกับไม่สนใจนางราวกับนางไม่มีตัวตน แถมผมสีแดงเพลิงที่หายากของนางก็น่าจะเป็นที่สะดุดตาด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสี่คนมองมา หญิงงามผมแดงก็ยิ้มและพูด “สาวน้อย มาให้พี่สาวกอดหน่อยสิ!”
นางพูดกับฮูหนิว
ท่าทีของฮูหนิวเปลี่ยนเป็นภาคภูมิใจและพูดกลับไป “เจ้ามีตาที่ยอดเยี่ยม หนิวเป็นเด็กสาวที่งดงามมาก และในอนาคตหนิวก็จะกลายเป็นสตรีที่งดงามไม่แพ้กัน แต่ว่าหนิวไม่อยากให้เจ้ามากอดหรอก เจ้ามันอัปลักษณ์เกินไป!”
“ข้าน่ะรึน่าเกลียด?” หญิงงามผมแดงปฏิเสธที่จะยอมรับและลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงทรวดทรงที่ยั่วยวนของนาง
นางนำมือข้างหนึ่งท้าวเอวและบิดสะโพก จากนั้นก็นำมืออีกข้างเค้นหน้าอกและพูด “ส่วนไหนที่เจ้าบอกว่าข้าน่าเกลียดงั้นรึ?”
“ทุกที่ของเจ้าล้วนแต่น่าเกลียด ส่วนนี้ของเจ้าอ้วนเกินไป!” ฮูหนิวชี้นิ้วไปยังหน้าอกของหญิงงามผมแดงจากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังเอว “แถมเอวของเจ้าก็ผอมบางเกินไปด้วย” ฮูหนิวยังคงชี้นิ้วไปที่สะโพกของอีกฝ่ายต่อ “ก้นของเจ้าก็ใหญ่เกินไป!”
ผู้คนมากมายหัวเราะออกมา สิ่งที่ฮูหนิวกล่าวว่าอ้วนเกินไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่บุรุษทุกคนหลงใหล แต่ฮูหนิวคงยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เพราะว่านางยังเป็นเด็ก
หญิงงามผมแดงแสดงรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมาและพูด “สาวน้อย เจ้าช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก เจ้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้าเป็นไง?”
“ไม่มีทาง!” ฮูหนิวส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
“แต่ข้ายืนกรานให้เจ้าต้องเป็นลูกศิษย์ของข้า!” หญิงงามผมแดงยิ้มอย่างอ่อนโยน เสียงอันน่าหลงไหลของนางทำให้บุรุษทั่วร้านอาหารต้องกลืนน้ำลาย
ฮูหนิวเล่นหน้าเล่นตาและเมินเฉยนาง
หญิงงามผมแดงยังคมไม่ยอมแพ้ เส้นผมของนางยืดออกมาเพื่อหวังพันล้อมรอบร่างฮูหนิว
ทันใดนั้นเอง เฟิงโปหยุนก็เปลี่ยนสีหน้าและใช้ดาบจู่โจมออกไปเพื่อป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย
‘ตูม’ เส้นผมของนางถูกสะท้อนกลับไป
สิ่งที่น่าตกตะลึงคือแม้จะเป็นเจตจำนงแห่งดาบที่ทรงพลังของเฟิงโปหยุนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมของนางขาดได้
สิ่งที่น่าตกตะลึงคือแม้จะเป็นเจตจำนงแห่งดาบที่ทรงพลังของเฟิงโปหยุนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมของนางขาดได้ เส้นผมของนางราวกับเป็นทองคำก่อเกิดผลาญโลหิตหรือไม่ก็แร่เหล็กระดับสิบ
หลิงฮันอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ หรือว่าสตรีที่ดูงดงามและน่าหลงใหลผู้นี่จะเป็นตัวตนระดับทลายมิติ?
“หนุ่มน้อยนักดาบ อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องดีกว่า!” สาวงามผมแดงกล่าวเตือนเฟิงโปหยุนอย่างไม่พอใจ
นางกล้าเรียกเฟิงโปหยุนว่าเด็กน้อย?
เฟิงโปหยุนจ้องมองไปยังอีกฝ่ายและพูด “เจ้าเป็นใคร?”
สางงามผมแดงยิ้มและกล่าว “ลองเดาดูสิ?”
“พี่สาวคนสวย อย่ามัวหยอกเล่นอยู่เลย ถ้าพี่สาวไม่บอกแล้วพวกเราจะรู้ได้อย่างไร?” หลิงฮันยิ้ม
“ฮ่าๆๆ พบกันครั้งแรกก็พูดจาปากหวานเช่นนี้แล้ว? น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ผู้ชายแบบที่ข้าชอบ” สาวงามผมแดงยิ้มและพูด “เอาล่ะ ข้าจะบอกชื่อของข้าให้ ฟังให้ดีล่ะ ‘ปีก’คือชื่อของข้า และนามของข้าคือ ‘คู่’ ”
“อี้ชวงชวง?” หลิงฮันกล่าว
“จะเรียกแบบนั้นก็แล้วแต่เจ้า” สาวงามผมแดงยิ้ม “ข้าชื่นชอบสาวน้อยคนนี้ยิ่งนักและอยากจะได้นางมาเป็นลูกศิษย์อย่างมาก ส่วนเจ้า… ข้าได้กลิ่นสมบัติล้ำค่าบนตัวของเจ้า จงรีบนำมันออกมาซะ”
“ฝันไปเถอะ!” ฮูหนิวแลบลิ้นใส่อี้ชวงชวง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าขอถามได้รึไม่ว่าท่านมาจากขุมอำนาจใด? ห้านิกายโบราณ? นิกายพันศพ? หรือว่าจักรวรรดิจันทราม่วง?”
อี้ชวงชวงยิ้ม “หนุ่มน้อย เจ้าคิดจะล้วงข้อมูลจากพี่สาวคนนี้? เจ้ายังเด็กเกินไป! เห็นแก่เด็กน้อยอย่างเจ้า ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าแต่เจ้าต้องส่งสมบัติทั้งหมดของเจ้ามา”
“ถ้าเจ้าจะทำอะไรกับน้องสอง เจ้าต้องผ่านข้าไปเสียก่อน!” เฟิงโปหยุนยืนนิ่งและกล่าวเตือน
“หึ ข้าไม่ชอบทั้งการต่อสู้และการสังหาร” อี้ชวงชวงส่ายหัว “เอาเป็นว่าเจ้าชวยเกลี้ยกล่อมน้องชายของเจ้าให้ข้าหน่อยเป็นไง?”
“ถ้าเช่นนั้นก็มาสู้กับข้าซะ!” แน่นอนว่าเฟิงโปหยุนไม่ทำตามที่นางพูด
“ตอนนี้พวกเราอยู่ในอาณาเขตของผู้อื่น และข้าก็ตัดสินใจว่าจะทำตัวไม่ให้โดดเด่นไปซักระยะ ในตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการสู้กับเจ้าหมูอ้วนนั่น” อี้ชวงชวงนั่งลงเงียบๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น