Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 699
“หนอนพันร่าง!” คิ้วของหลิงฮันขมวดเข้าหากันและแสดงสีหน้าไม่สู้ดี “หนีเร็วเข้า เจ้าตัวใหญ่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราสมควรไปยุ่งด้วย”
“ทำไมล่ะ?” หลี่เฟิงหยู่เอ่ยถาม แม้แต่ในเวลาเช่นนี้เขาก็ยังยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไม่ได้
“เลิกถามแล้วเผ่นได้แล้ว!” หลิงฮันโคจรปราณก่อเกิดและคว้าร่างของเหล่าสหายเขาเอาไว้ จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปจากที่นี่ในทันที
เหวินเหรินเชียนเชียนวิ่งหนีตามหลังมา เพราะแม้แต่หลิงฮันกับเจียหมิงยังเลือกที่จะหนี แม้นางจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ทำอะไรไม่ได้
หนอนยักษ์ไล่ตามพวกเขามา ขาร้อยขาของมันขยับเคลื่อนที่พร้อมเพรียงกันอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างใหญ่ๆของมันเคลื่อนอย่างรวดเร็วและไล่ตามเข้ามาใกล้หลิงฮันอย่างรวดเร็ว
“เจ้าก็มาทางนี้ซะ!” หลิงฮันโคจรปราณก่อเกิดอีกครั้งและคว้าร่างของเหวินเหรินเชียนเชียนเข้ามา จากนั้นเขาได้โคจรทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาเปลี่ยนร่างตนเองให้เป็นส่ายฟ้าและวิ่งหนีทิ้งระยะห่างกับหนอนยักษ์
ความเร็วของเขาในตอนนี้สามารถทัดเทียมได้กับจอมยุทธระดับสวรรค์ และเหนือกว่าจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาทุกคน
สุดท้ายหนอนยักษ์ก็ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ตามและหันหลังเดินหายไปอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันหยุดวิ่งและวางร่างของทุกคนลง
“น้องเขย ทำไมพวกเราต้องวิ่งหนีด้วย?” หลี่เฟิงหยู่ยังคงถามคำถามเดิม
หลิงฮันถอนหายใจและพูดตอบ “หนอนยักษ์เมื่อครู่มักจะไม่อยู่ตัวคนเดียว ในเมื่อมันปรากฏให้เห็นหนึ่งตัว…”
“ก็ต้องมีอีกตัวหนึ่งอยู่ใกล้ๆด้วย?” หลี่เฟิงหยู่พูดแทรก
หลิงฮันส่ายหัว “บริเวณแถวๆนั้นจะต้องมีรังของพวกมันด้วย!”
‘พรวด’ หลี่เฟิงหยู่สำลักออกมาก่อนที่จะพูด “ยังมีหนอนที่น่าขยะแขยงเช่นนั้นอยู่อีกเป็นฝูงเลย?”
“หนอนพันร่างจะมีรังอยู่อย่างร้อยหนึ่งพันรัง ไม่เช่นนั้นมันจะถูกเรียกเช่นนั้นได้อย่างไร? หนอนตัวเมื่อครู่นั้นมีพลังอยู่ที่ประมาณระดับก้าวสู่เทวาขั้นกลาง แต่สัตว์อสูรเช่นนั้นย่อมมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งและสู้ยากกว่าจอมยุทธระดับก้าวสู่เวขั้นปลายเสียอีก ถ้าเจ้าหลงเข้าไปในรังของมัน คงได้สนุกกันแน่” หลิงฮันส่ายหัว
“รีบไปกันเถอะ” พวกผู้หญิงในกลุ่มเอ่ยขึ้นมา เป็นธรรมดาที่พวกนางจะไม่ชอบสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงแบบนั้น
พวกเขาเดินหน้าต่อไปยังทิศทางของดวงอาทิตย์
“โฮกกก” ทันใดนั้นด้านหน้าของพวกเขาก็มีเสียงคำรามของสัตว์อสูร เสียงที่ดังขึ้นนั้นทรงพลังจนผืนปฐพียังสั่นสะเทือน
“สัตว์อสูรระดับสวรรค์!” หลิงฮันสัมผัสได้ถึงพลังของอีกฝ่ายและบอกกับทุกคน
“ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่อันตรายอะไรเช่นนี้!” ทุกคนพูดออกมา
แต่ก็ไม่มีใครคิดจะล่าถอย ยิ่งอันตรายมากเท่าไหร่ วาสนาที่จะได้พบก็ยิ่งคุ้มค่ามากเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคิดจะนำชีวิตตนเองไปทิ้ง พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรเมื่อครู่
ผ่านไปซักพัก เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏทุ่งหญ้าประหลาดสีเขียวเข้มที่ดูไม่เข้ากับภูมิประเทศโดยรอบ
หลี่เฟิงหยู่คิดจะเดินเข้าไปในทุ่งหญ้านั่นแต่หลิงฮันก็เอื้อมมือคว้าร่างของเขาเอาไว้และดึงกลับมา
“น้องเขย เจ้าทำอะไรกับข้าเนี่ย?” หลี่เฟิงหยู่ถามด้วยความมึนงง
หลิงฮันถอนหายใจและพูด “ถ้าเจ้ายังมัวถามนู่นถามนี่อีก ข้าจะโยนเจ้าเข้าไป”
หลี่เฟิงหยู่มีท่าทีระมัดระวังและพูด “หรือว่าหญ้าพวกนั้นจะไม่ใช้หญ้าธรรมดา?”
“ก็ลองดูสิ” หลิงฮันโยนร่างของหลี่เฟิงหยู่ออกไป
“ช่วยข้าด้วย!” หลี่เฟิงหยู่ตะโกนลั่นและรีบทะยานร่างขึ้นฟ้า
ทันใดนั้นเอง หญ้าสีทึบก็เปลี่ยนไป รากของมันยืดขึ้นมาบนพื้นดินพร้อมกับแผ่นดินที่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นมือขนาดใหญ่มือหนึ่งก็โผล่ออกมาจากรอยแยกพื้นดินเพื่อหวังคว้าร่างของหลี่เฟิงหยู่
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!” หลี่เฟิงหยู่อุทานและรีบคว้ากระบี่ออกมาโจมตีใส่ฝ่ามือยักษ์
ถึงแม้เขาจะพูดมาก แต่ความสามารถของเขาก็ไม่ได้อ่อนด้อย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ได้
‘ตูม’ ปราณกระบี่ปะทะกับฝ่ามือยักษ์ แต่ฝ่ามือยักษ์กลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆและยังคงเอื้อมไปคว้าร่างของหลี่เฟิงหยู่ต่อ
หลิงฮันถอนหายใจและใช้ดาบจู่โจมใส่ฝ่ามือยักษ์
‘พรึบ’ รัศมีของเขาปลดปล่อยอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ฝ่ามือยักษ์ไม่กล้าที่จะเมินเฉย ฝ่ามือได้รวบเข้าหากันกลายเป็นหมัดเพื่อต่อต้านรัศมีดาบ
‘ตูม’ รัศมีแห่งดาบระเบิดออกกลายเป็นประกายแสงที่สว่างไสว
หลี่เฟิงหยู่รีบหนีกลับมาโดยมีท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อย
‘ตุบ ตุบ ตุบ’ อสูรขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน มันเป็นอสูรที่มีความสูงราวๆสิบฟุต หลังของมันปกคลุมไปด้วยหญ้าสีทึบ นั่นหมายถึงกองหญ้าที่เห็นก่อนหน้านี้คืออสูรตนนี้ที่นอนอยู่ใต้ดิน
“เจ้ามนุษย์หินตัวเหม็น ช่างกล้านักที่ดักซุ่มทำร้ายนายท่านผู้นี้!” หลี่เฟิงหยู่ตะโกนออกไปและรีบวิ่งไปหลบที่ด้านหลังหลิงฮัน “นายน้อยฮัน จัดการมันเลย”
อสูรตนนี้คือมนุษย์หินที่มีกลิ่นอายอันทรงพลังของระดับก้าวสู่เทวา
หลิงฮันหัวเราะและเรียกอสูรศิลาออกมา “เจ้าตัวใหญ่ ได้เวลาอาหารของเจ้าแล้ว สังหารมัน!”
‘โฮกก’ เมื่ออสูรศิลาเห็นมนุษย์หินที่อยู่ตรงหน้ามันก็คำรามยั่วยุออกมาทันที สำหรับอสูรหินเช่นพวกมันแล้ว การกลืนอีกฝ่ายจะทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้น
“โฮกกก!” มนุษย์หินร่างใหญ่คำรามออกมาเช่นกัน แต่เสียงคำรามของมันทรงพลังกว่าอสูรศิลาน้อยมาก คลื่นคำรามของมันราวกับพายุเฮอริเคนที่พัดใส่พวกหลิงฮันจนทรงผมยุ่งเหยิง
อสูรศิลาขาอ่อนทันที มันรีบหดตัวไปหลบอยู่ด้านหลังหลิงฮันและส่งเสียงแหลมๆออกมา ราวกับลูกสุขนัขที่กำลังหวาดกลัว
ก่อนหน้านี่มันกระหายที่จะกลืนกินอีกฝ่าย แต่ตอนนี้มันรู้แล้วว่าพลังของอีกฝ่ายน่ากลัวกว่าตนเองขนาดไหน
หลิงฮันหัวเราะ อสูรสิลาเริ่มจะมีนิสัยเหมือนกับมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
มนุษย์หินยักษ์จ้องมองไปยังอสูรศิลาที่แอบอยู่ด้านหลังหลิงฮัน ปากของมันเปิดออกและมีน้ำลายไหลออกมา
สำหรับมันแล้ว อสูรศิลาก็เป็นอาหารมื้อใหญ่เช่นกัน
มันไม่ลีลาชักช้าและพุ่งเข้าใส่หลิงฮันทันที ในสายตาของมันหลิงฮันนั้นไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวก มันไม่ลังเลที่จะบดขยี้หลิงฮันและเขมือบอสูรศิลาเพื่อพัฒนาไปยังระดับที่สูงขึ้น
อสูรศิลาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมนุษย์หินยักษ์ ดังนั้นหลิงฮันจึงต้องเป็นคนสู้กับศัตรูสุดแกร่งตรงหน้านี้แทน