Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 739
หลังจากผ่านไปสิบวัน ผู้คนกว่าครึ่งหนึ่งก็ได้ถูกกำจัดออกไป มันคงเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าหลังจากผ่านไปสองเดือนจะยังมีคนเหลือรอดอยู่ห้าสิบคน
แต่ในสิบวันนี้ ผู้คนที่เหลือรอดมาได้ไม่ได้มีแค่ความเพียรและพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกฝนระเบียบวินัยของทหารด้วยเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถเทียบได้กับทหาร แต่ก็แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีมาก
หนึ่งเดือนต่อมา ผู้คนที่ถูกกำจัดออกเริ่มเยอะขึ้น และเหลืออยู่แค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น
“สามวันให้หลัง พวกเจ้าทุกคนจะถูกแบ่งออกเป็นสิบกลุ่มเพื่อทำงานเป็นกลุ่ม ข้าจะเป็นคนให้คะแนน กลุ่มไหนที่ได้คะแนนต่ำที่สุด…จะถูกกำจัด!” เซียวหย่งเหนียนกล่าว
ทุกคนรู้สึกตกใจและมีบางคนรู้สึกไม่พอใจ
ถ้าหากพวกเขาได้อยู่ทีมไก่ล่ะ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะต้องถูกกำจัดหรอกหรือ?
“การทดสอบนี้เป็นการทดสอบการร่วมมือกัน ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถร่วมมือกับคนในกลุ่มได้ แล้วพวกเจ้าจะสมัครเจ้าร่วมกองทัพไปทำไม?” เซียวหย่งเหนียนเค้นเสียง “ข้าจะเป็นคนเลือกสมาชิกให้เอง และข้าไม่ต้องการวีรบุรุษที่ชอบฉายเดี่ยว!”
หลิงฮันพยักหน้าในใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นกองทัพทหารร้อยคนที่นำโดยราชินีหยินมาก่อน เมื่อพวกเขาหนึ่งร้อยคนรวมพลังกันพวกเขาสามารถที่จะต้านทานผลที่ตามมาของการต่อสู้ของจอมยุทธระดับทลายมิติได้ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าทึ่ง
นี่คือผลมาจากความสามัคคี แน่นอนว่าทหารพวกนั้นจะต้องใช้วิธีบางอย่างที่จะผสานความแข็งแกร่งและพลังป้องกันของพวกเขา มิฉะนั้นมันคงไม่มีทางทำได้
“มันคงเป็นเรื่องดีที่จะได้เรียนรู้วิธีการนั้น” หลิงฮันคิดอยู่ในใจ
ภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้คือการกวาดล้างกลุ่มโจรภูเขา
ในความเป็นจริง กลุ่มโจรภูเขาพวกนั้นก็เคยทำงานสุจริตมาก่อน พวกเขาเคยเป็นขุมพลังที่มีจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวา ทว่าภายใต้การกวาดล้างของจักรวรรดิจันทราม่วง ทำให้จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาพวกนั้นถูกฆ่าตาย แต่ก็มีบางคนเลือกที่จะยอมจำนน
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้พวกมันได้ลอบโจมตีอย่างลับๆจากคำสั่งของห้านิกายโบราณ พวกมันเข้าไปในพื้นที่ภูเขาที่ซับซ้อนและกลายเป็นโจรภูเขา บางครั้ง พวกมันก็จะออกมาทำร้ายผู้คน โดยมีวัตถุประสงค์คือเพื่อทำลายจักรวรรดิจันทราม่วง
ถ้าประชาชนไม่มีความสุข พลังจักรภพก็จะกลายเป็นพิษ!
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะจักรวรรดิจันทราม่วงจัดการพวกมันไม่ได้ โจรภูเขาที่หลงเหลืออยู่มีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นพวกมันจะกลายเป็นคู่ซ้อมให้กับผู้สมัคร
พูดตามตรง แม้ว่าโจรพวกนั้นจะมีจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาอยู่ก็ตาม หลิงฮันก็สามารถกำจัดได้อย่างง่ายดาย แต่ครั้งนี้เขาจะต้องทำงานเป็นกลุ่ม หลิงฮันจึงไม่คิดที่จะฉายเดี่ยว และเป็นสวมตัวตนจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน
พวกเขาได้รับการสอนทักษะสร้างค่ายกลที่สามารถรวมพลังของคนสิบคนแต่ผลลัพธ์ของมันนั้นได้แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แต่ว่าอย่าได้ดูถูกผลลัพธ์ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เชียว ถ้ารวมพลังเข้าด้วยกัน ยิ่งคนเยอะ ผลกระทบก็จะยิ่งน้อยลง
สามวันต่อมา พวกเขาจะพึ่งพาทักษะค่ายกลนี้เพื่อเผชิญหน้ากับโจรภูเขา กล่าวกันว่าพวกมันมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณมากถึงสี่คน ซึ่งมากกว่าในหมู่พวกเขาถึงสองคน
ทุกคนเริ่มตัวสั่น พวกเขาจะต้องตั้งใจ มิเช่นนั้นพวกเขาอาจไม่ถูกกำจัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจถูกฆ่าตายด้วย
แต่ละกลุ่มจะมีคนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นแกนกลางของทักษะค่ายกล ซึ่งเป็นการรวมพลังของอีกเก้าคนให้กลายเป็นหนึ่ง หลิงฮันเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด และแน่นอนว่าเขาจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่มและเป็นแกนกลางทักษะค่ายกล
ความแข็งแกร่งของแต่ละกลุ่มมีความสมดุลมากกลุ่มที่มีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณสองกลุ่มนั้นความแข็งแกร่งของสมาชิกในกลุ่มจะด้อยกว่ากลุ่มอื่นเพื่อถัวเฉลี่ยความแข็งแกร่งกันไป
แน่นอนว่าจูเสวี่ยนเอ๋อไม่ได้ถูกแบ่งให้อยู่ในกลุ่มของหลิงฮัน ที่นี่มีจอมยุทธที่อยู่เหนือกว่าระดับบุปผาผลิบานเพียงแค่หกคนเท่านั้น แน่นอนว่าคนพวกนั้นจะต้องเป็นผู้นำกลุ่ม ไม่เหมือนกับสี่กลุ่มที่เหลือที่ไม่มีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ต้องต่อสู้กับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ละกลุ่มจะมีภารกิจที่วางแผนไว้เป็นอย่างดี กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดจะได้ต่อสู้กับโจรภูเขาที่อ่อนแอ ซึ่งจะไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์
สามวันต่อมา พวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง
พวกโจรภูเขาไม่ได้อยู่ห่างจากพวกเขามากนัก พวกเขาเดินทางแค่ครึ่งวันก็เดินมาถึงแล้ว เมื่อพวกเขามาถึงเซียวหย่งเหนียนสั่งให้พวกเขาเริ่มเปิดฉากโจมตีพวกมัน
ก่อนหน้านี้หลิงฮันเคยเห็นการโจมตีของจักรวรรดิจันทราม่วงมาก่อน เขาเคยยืนอยู่ในมุมมองของห้านิกายโบราณ แต่ตอนนี้เขาเป็นทหารตัวเล็กๆของจักรวรรดิจันทราม่วง ซึ่งมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กลุ่มคนสิบคนเกือบจะไร้พ่าย เพราะพวกเขาสามารถรวบพลังกันได้ แม้แต่กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดยังมีพลังต่อสู้ระดับบุปผาผลิบาน
พวกเขาต่อสู้อย่างดุเดือดตลอดทาง และบังคับให้โจรภูเขาที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งสี่คนปรากฏตัวออกมาและต่อสู้กันอย่างดุเดือด
หลิงฮันลงมือไม่ให้โดดเด่นเกินไป แต่ยกระดับพลังต่อสู้ของเขาไปที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณสองดาวและต่อสู้กับศัตรูด้วยสมาชิกกลุ่มเก้าคนของเขา
การต่อสู้ดำเนินไปเป็นเวลาเกือบสามวันและในที่สุดกลุ่มโจรภูเขาก็ถูกกำจัดออกไปและทางกองทัพก็จ่ายเงินให้กับคนที่ตกตายไปเจ็ดคนและได้รับบาดเจ็บสิบแปดคน แต่เมื่อพิจารณาว่าพวกเขามีเพียงแค่ร้อยคนเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่ามาก แต่ผลลัพธ์กลับน่าตื่นตาตื่นใจ
แม้แต่หลิงฮันก็พยักหน้า นี่เป็นตัวอย่างชัยชนะของผู้ที่อ่อนแอกว่ากลับชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
“ฮึ่ม ตายเจ็ดคนงั้นรึ!” สีหน้าของเซียวหย่งเหนียนดูเย็นชา “คนพวกนั้นถือเป็นพวกไร้ประโยชน์ สามคนเป็นกลุ่มของกงเฟยหยาง สองคนเป็นกลุ่มของซู่เฉิงเหวิน และอีกสองคนเป็นกลุ่มของเจียนฉีเจิง อย่าคิดว่าข้าไม่ให้ความสนใจ ถ้าพวกเจ้าไม่โลภที่จะสร้างผลงาน สมาชิกในกลุ่มของพวกเจ้าจะตายหรือไม่?”
กงเฟยหยางและซู่เฉิงเหวิน พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะต้องเชื่อฟังจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่เจียนฉีเจิงเองก็เป็นชายชราที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเหมือนกัน เขาเค้นเสียงและพูดว่า “มันไม่คุ้มหรือที่ใช้ชีวิตของจอมยุทธระดับห้วงวิญญาณสามคนแลกกับชีวิตของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ?”
“เจ้ามีอำนาจอะไรมาตัดสินใจว่าใครจะมีชีวิตอยู่หรือตาย?” เซียวหย่งเหนียนดูโศกเศร้า “ในสนามรบแห่งนี้สมาชิกกลุ่มของเจ้าคือที่พึ่งของเจ้าเจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นเบี้ยที่เจ้าสามารถใช้พวกเขาเพื่อเสียสละแทนได้อย่างนั้นรึ? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น? ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า!”
“อะไรกัน!” เจียนฉีเจิงไม่พอใจ เขาทนฝึกฝนตั้งแต่วันแรก แล้วเขาจะยอมรับได้อย่างไร?
เขาปัดแขนเสื้อขึ้นมาและพูดว่า “ถ้าเจ้าต้องการให้ชายชราอย่างข้าไส้หัวไปให้พ้น เช่นนั้นก็มอบเทคนิคบ่มเพาะพลังระดับแปดมาให้ข้า เจ้าคิดหรือว่าชายชราอย่างข้าจะเต็มใจทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่?”
เซียวหย่งเหนียนแสยะยิ้มและพูดว่า “เจ้าไม่ผ่านการฝึกฝน แต่ยังต้องการเทคนิคบ่มเพาะพลัง?”
“หรือเจ้าคิดจะลองดีกับข้า?” เจียนฉีเจิงจ้องเขม็ง “ถ้าเจ้าไม่ส่งเทคนิคบ่มเพาะพลังมาให้ข้า ข้าจะสังหารทุกคนที่อยู่ที่นี่ซะ!” เขานำดาบสีดำออกมาและมีออร่าสีดำพันอยู่รอบดาบ ซึ่งดูน่าหวาดกลัวมาก