Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 890
เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเห็นว่าบุตรสาวที่สี่ของเขากับหลิงฮันออกจากบ้านพักไป เขาก็ให้จอมยุทธสี่คนแอบลอบตามไปทันที
ทั้งสี่คือคนคุ้มกันลับๆที่อาวุโสฝ่ายซ้ายส่งไปคุ้มกันหลี่เหว่ยเหว่ย พวกเขาเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด! (ขั้นพลังมี ต่ำ กลาง สูง สูงสุด)
การที่จะมีผู้คุ้มกันที่ทรงพลังเช่นนี้ ต่อให้หาทั่วทั้งจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะก็คงจะไม่มีมาก
ด้วยพลังบ่มเพาะของหลิงฮันในตอนนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจพบร่องรอยของทั้งสี่คนที่แอบตามมา พวกหลิงฮันเดินมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของประตูเมือง สำนักนภาสีชาดตั้งอยู่ใกล้ๆที่นั่น
พวกเขาเดินทางโดยรถม้าของอาวุโสฝ่ายซ้าย ในขณะที่พวกเขาเดินทางผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนต่างต้องเปิดทางให้พวกเขา แม้แต่ทหารลาดตระเวนยังต้องหยุดเดินและแสดงความเคารพ
นี่คืออำนาจของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย
ในโลกใบเล็ก อาวุธวิญญาณประเภทพาหนะนั้นมีประโยชน์อย่างเดียวคือการช่วยประหยัดพลังปราณของจอมยุทธ ความเร็วของพวกมันไม่ได้รวดเร็วมากเท่าไหร่ แต่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาวุธวิญญาณประเภทพาหนะนั้นมีความเร็วมากกว่าจอมยุทธมาก
ไม่ต้องกล่าวเลยว่าอาวุธิวิญญาณประเภทพาหนะเช่นนี้ย่อมมีเพียงตัวตนระดับสูงอย่างผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้
ถึงแม้สำนักนภาสีชาดจะมีเพียงสำนักเดียว แต่ภายในสำนักก็แยกออกเป็นสี่ฝ่าย แต่ละสำนักแต่ละฝ่ายจะตั้งอยู่ตามประตูเมืองของแต่ละทิศ หากจะพูดตามตรงแล้ว ศิษย์แต่ละฝ่ายนั้นจะไม่มีทางเดินผ่านประตูของสำนักฝ่ายอื่นเด็ดขาด
การแข่งขันของสำนักทั้งสี่ฝ่ายนั้นรุนแรงเกินไป ถ้าศิษย์จากฝ่ายเหนือเดินไปยังสักนักฝ่ายตะวันตก แต่นอนว่าสิ่งที่ศิษย์คนนั้นจะพบเจอคือการถูกทุบตีจนปางตาย!
ในตอนนี้หน้าประตูกำลังมีผู้คนมารวมตัวกันมากมาย ถึงแม้สำนักนภาสีชาดจะเปิดรับศิษย์ทุกๆห้าปี แต่จักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะนั้นมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลและจำนวนศิษย์ที่พวกเขารับก็ช่างน้อยนิดจนน่าตกใจ
ดังนั้นในการทดสอบแรกสำนักจึงต้องคัดคนออกจากพรสวรรค์ พวกเขาไม่คิดจะเสียเวลากับจอมยุทธที่ไร้ศักยะภาพ
ชื่อเสียงของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายใช้ได้ผลเป็นอย่างมาก ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถนั่งรถม้าเข้าไปในสำนักได้ แต่พวกเขาก็สามารถลัดคิวฝูงชนที่อัดแน่นราวกับมหาสมุทรได้
“ทำไมพวกเขาถึงลัดคิวได้?”
“นั่นสิ พวกเรารอคิวกันทั้งนาน!”
“ไม่ยุติธรรม!”
ผู้เข้าร่วมทดสอบคนหนึ่งตะโกนดังขึ้น จากนั้นผู้เข้าร่วมคนอื่นๆก็ตะโกนตาม
ทหารยามของสำนักเค้นเสียงเย็นยาก่อนจะกล่าว “ถ้าพวกเจ้ามีอำนาจเช่นเดียวกับผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย พวกเจ้าก็สามารถลัดคิวได้!”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยขึ้น ทุกคนก็เงียบสงบทันที
ผู้คุ้มกันทั้งสี่คนของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่ตามมาแยกย้ายกันออกไปคนละทาง พวกเขาไม่เข้าไปในสำนักแต่เลือกที่จะคุ้มกันอยู่รอบนอกเพื่อไม่ให้คุณหนูสี่แอบหนีไปไหน
หลังจากหลิงฮันเข้าไปในสำนัก หลี่เหว่ยเหว่ยก็เดินนำทางหลิงฮัน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางมาที่สำนักแห่งนี้ เมื่อเดินได้สักพักพวกเขาก็มาถึงตำหนักรูปทรงสี่เหลี่ยม
สถานที่แห่งนี้คือศูนย์กลางของสำนักนภาสีชาดภายในตำหนักมีหอคอยเก้าชั้นตั้งตระหง่านอยู่
หอคอยนี่ก็มีเก้าชั้นเหมือนกัน?
“เหอะ!” หอคอยน้อยส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “กล้าเลียนแบบข้างั้นรึ? ข้าจะทำลายมันทิ้งเดี๋ยวนี้!”
หลิงฮันเหงื่อไหลท่วมหลัง “แม้หอคอยตรงหน้าจะมีเก้าชั้น แต่ลักษณะของมันเป็นสีขาวเสียส่วนใหญ่ มันแตกต่างกับเจ้ามาก!”
“แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่สบอารมณ์อยู่ดี ข้าจะทำลายมันทิ้ง!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างยิ่งยโส
“เจ้าอย่างฃสร้างเรื่องให้ข้า หอคอยนี้สิ่งที่สำนักนภาสีชาดใช้ทดสอบ ถ้าเจ้าทำลายมันทิ้งเจ้าคิดว่าข้าจะถูกแยกส่วนของเป็นกี่ส่วนกัน?” หลิงฮันฝืนยิ้ม
การทดสอบของสำนักนภาสีชาดนั้นง่ายมาก เมื่อเข้าไปในหอคอยหากสามารถขึ้นไปถึงชั้นสามได้ก็จะถูกยอมรับให้เป็นลูกศิษย์ของสำนัก ยิ่งขึ้นไปได้สูงเท่าไหร่คะแนนการประเมินก็จะยิ่งสูงขึ้นและรางวัลที่ล้ำค่าขึ้น
“ลองคาดเดากันไหมว่าครั้งนี้ใครจะได้อันดับหนึ่ง?”
“ไม่จำเป็นต้องเดา แน่นอนว่าต้องเป็นหลั่วป้าอยู่แล้ว นอกจากเขาจะเป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเมืองจักรพรรดิแล้ว พรสวรรค์ของเขาก็ยังสูงกว่าใครๆด้วย ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องได้รับอันดับหนึ่งในครั้งนี้”
“เหอะ เจ้ากล่าวเองไม่ใช่รึไงว่ามีอัจฉริยะของเมืองจักรพรรดิสามคน หรือเจ้าจะลืมจื่อหยุนเอ๋อ กับหลินยู่ไปแล้ว?”
“ถูกต้อง ข้ามั่นใจว่าจะต้องจื่อหยุนเอ๋อแน่นอน นางเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามที่สุดของเมืองจักรพรรดิ ข้าจะต้องให้กำลังใจนาง”
“แต่ข้าคิดว่าเป็นหลินยู่มากกว่าที่จะได้อันดับหนึ่ง!”
ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นของตน ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะคิดแตกต่างกันแต่ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นหลั่วป้า จื่อหยุนเอ๋อและหลินยู่ พวกเขาคิดว่าอย่างน้อยสามอันดับแรกก็ต้องเป็นสามคนนี้แน่นอน สิ่งที่พวกเขาเถียงกันอยู่ก็คือในสามคนนี้ใครจะเป็นอันดับแรก
“พวกเจ้าทัศนะคับแคบเกินไปรึเปล่า พวกเจ้าไม่คิดบ้างรึว่าจะมีฉัจริยะจากนอกเมืองจักรพรรดิที่เป็นม้ามืด?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้น
“ฮ๋าๆๆๆ!” คำพูดของเขาทำให้ผู้คนมากมายหัวเราะเยาะ
“ทักษะต่อสู้ที่แม้จะดูต่างกันเล็กน้อย แต่ที่จริงกลับต่างกันราวกับสวรรค์และปฐพี ทรัพยากรบ่มเพาะของตระกูลใหญ่ในเมืองจักรพรรดินั้นล้ำค่าเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการ!”
“ถึงแม้พรสวรรค์จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่โลกนี้ก็มีสมบัติมากมายที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้หรือพลังกายได้”
“หรือก็คือพื้นหลังต่างหากที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาที่สุด!”
“อืม!” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ในมุมหนึ่งของตำหนักสี่เหลียม ชายชราผมเทานำมือพาดหลังและพึมพำ “ทุกคนต่างคิดว่าสามอัจฉริยะตระหลัว ตระกูลจื่อและตระกูลหลินจะเป็นคนครองสามอันดับแรกในการทดสอบนี้ ฮ่าวเฟย เจ้ามั่นใจรึไม่ว่าเจ้าจะโค่นสามคนนั่นได้?”
“ท่านปู่ไม่ต้องกังวล ข้าฝึกฝนการหนักมาเป็นเวลาสิบปี ข้าต้องทดต่อความยากลำบากแสนเข็นมากนับไม่ถ้วนก็เพื่อวันนี้” ด้านข้างชายชราปรากฏร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง เขาดูมีอายุราวๆยี่สิบปีและมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับทลายมิติขั้นเก้า
“ฮ่าๆๆ ปู่คนนี้จะรอวันที่เจ้าจะเฉิดฉาย!” ชายชราผมเทาหัวเราะ
โดยปกติแล้ว ‘ครอบครัว’ ไม่สามารถเข้ามาสำนักพร้อมกับผู้สมัครได้ แต่ก็มีบางคนที่ย่อมได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ถ้าหากเขาต้องการเดินเข้ามาในสำนักใครจะกล้ารั้งห้ามเขาเอาไว้?
รุ่นเยาว์ผู้นั้นกำหมัดแน่นและกล่าว “วันนี้นี่แหละคือวันที่ข้า ฮ่าวเฟยผู้นี้จะเจิดจรัส ทุกคนจะต้องแหงนมองฝ่าเท้าของข้า!”
……
ในอีกมุมหนึ่งของตำหนัก รุ่นเยาว์อีกคนจับดาบในมือแน่น แววตาของเขาเฉียบคมและดุดัน เพียงแค่เขากวาดมองจอมยุทธที่อยู่รอบข้างก็รู้สึกขาอ่อน
จอมยุทธที่มาสมัครเข้าร่วมต่างก็มีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติ แต่การที่แค่เขามองก็ทำให้ผู้สมัครคนอื่นเข่าอ่อนได้ นี่เขาต้องมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
“อันดับหนึ่งต้องเป็นของข้า หม่าชิง!”