Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 892
“ชั้นห้า!”่
“คนที่ขึ้นไปได้จะต้องเป็นหลัวป้าไม่ผิดแน่ เขาเป็นอัจฉริยะหนึ่งดาว!”
“ครั้งแรกในรอบหนึ่งร้อยปี!”
หลายคนส่งเสียงอุทานออกมาด้วยท่าทางชื่นชมและอิจฉา นี่คือผลลัพธ์ที่หลายคนไม่อาจเเอื้อมไปถึง
“แล้วมันยังเป็นไปได้อีกหรือไม่ที่หลัวป้าจะสามารถขึ้นไปยังชั้นหกและกลายเป็นอิจฉริยะระดับสองดาว?”
“ยาก!”
“ระหว่างอัจฉริยะหนึ่งดาวกับสองดาวนั้น แม้ช่องว่างจะดูเล็กน้อย แต่อัจฉริยะระดับสองดาวนั้นถือได้ว่าหนึ่งพันปีจะปรากฏตัวออกมาให้เห็นสักคน!”
“มันยากที่จะพูด นั่นเป็นเพราะพวกเราอยู่ในจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีอัจฉริยะนับไม่ถ้วน”
“ใช่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นอัจฉริยะระดับสองดาวก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ดี เท่าที่ข้ารู้ทั้งสำนักนภาสีชาดมีอัจฉริยะระดับสองดาวน้อยกว่าร้อยคนเสียอีก?”
แม้จะฟังดูน้อย แต่นั่นคืออัจฉริยะที่จะถือกำเนิดขึ้นทุกพันปี
“รอดู!”
ทุกคนจ้องมองไปที่หอคอยดาราขาวเก้าชั้น ถ้าหากหอคอยชั้นที่หกส่องแสงสว่างนั่นหมายความว่าหลัวป้าจะกลายเป็นอัจฉริยะระดับสองดาว
แต่หลังจากผ่านไปเวลานาน หอคอยชั้นหกก็ไม่ส่องแสง และหลัวป้าก็เดินออกมาจากหอคอย
– เขาล้มเหลวในการทะลวงผ่านหอคอยชั้นหก
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าผู้อาวุโสของสำนักค่อนข้างเสียดาย แม้พวกเขาจะคาดหวังในตัวหลัวป้าอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถสร้างปาฎิหาริย์ขึ้นมาได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะอัจฉริยะระดับสองดาวนั้นหาได้ยากมาก
ยิ่งไปกว่านั้น การที่หลัวป้าจะกลายเป็นอัจฉริยะระดับสองในอนาคตใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นั่นเป็นเพราะนี่เป็นเพียงแค่การทดสอบศักยภาพความเป็นไปได้เท่านั้น
“ยอดเยี่ยม ผู้อาวุโสชี่หลิง แม้ว่าหลัวป้าจะไม่ผ่านหอคอยชั้นหก แต่เขาก็เกือบทำสำเร็จ คะแนนประเมินของเขาถือว่าดีมากและอาจเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของปีนี้ หากได้อันดับหนึ่งก็ไม่นับว่าแปลกใจ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดก็ได้รับต้นกล้าที่ดี!”
เหล่าผู้อาวุโสหลายคนของสำนักนภาสีชาดฝ่ายเหนือพูดด้วยความสุข ยิ่งศิษย์ที่พวกเขาได้รับมายอดเยี่ยมเท่าไหร่ สำนักฝ่ายเหนือของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ด้วยความสามารถที่หลัวป้าแสดงออกมาให้เห็นนั้น ทำให้อัจฉริยะที่เหลือไม่อาจนิ่งนอนใจได้ และอยากเข้าไปด้านในเพื่อทำการทดสอบทันที แม้จะมีหลายคนที่ผ่านไปถึงหอคอยชั้นที่สี่ แต่มีเพียงแค่หลัวป้าคนเดียวเท่านั้นที่ขึ้นไปถึงชั้นห้าได้
“เจ้าโง่หลิง เจ้าไม่รู้สึกกดดันเลยหรือไง?” หลี่เหว่ยเหว่ยหันไปถามด้วยสีหน้ากังวลและผิดหวัง แม้นางจะรู้ตัวดีว่าตัวเองด้อยกว่าอัจฉริยะอันดับต้นๆอยู่แล้วก็ตาม
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “เจ้ารอดูข้าได้เลย ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าข้าสามารถกวาดอัจฉริยะทั้งหมดและกลายเป็นอันดับหนึ่ง”
“ขี้โม้!” หลี่เหว่ยเหว่ยกลอกตาใส่และพูดว่า “ข้าคิดจะเข้าไปก่อน แต่ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนั้น หลังจากที่ข้าออกมา ข้าอยากเห็นยิ่งนักว่าเจ้าจะสร้างความประหลาดให้กับข้าได้อย่างไร?”
“ตกลง!” หลิงฮันพยักหน้า และดูจากความเร็วการทดสอบแล้ว วันเดียวน่าจะทดสอบเสร็จ ดังนั้นจะเข้าร่วมการทดสอบช้าหรือเร็วก็ไม่แตกต่างกัน
หลี่เหว่ยเหว่ยเดินเข้าไปในหอคอยและใช้เวลาเกือบหนึ่งธูปดับเพื่อทำการทดสอบก่อนที่จะเดินออกมา
ยิ่งใช้เวลาไปกับการทดสอบนานเท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็จะยิ่งน่าพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่า นางขึ้นไปชั้นที่สี่ได้เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะขึ้นไปชั้นที่ห้า
“ดูนั่น หอคอยชั้นที่ห้าส่องแสงอีกแล้ว!” เมื่อเสียงอุทานดังขึ้น ทุกคนหันหน้าไปมองทันที และเห็นหอคอยชั้นที่ห้ากำลังส่องแสงสว่างอยู่จริงด้วย
สีหน้าของหลัวป้าดูมืดมนขึ้นมาทันที การที่มีคนอื่นสามารถขึ้นไปยังหอคอยชั้นที่ห้าได้เหมือนกัน ทำให้เขารู้สึกกดดัน
“พี่ใหญ่ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก ตราบใดที่คนคนนั้นไม่สามารถขึ้นไปชั้นหกได้ เขาก็ยังคงอยู่ในระดับเดียวกันท่าน” หลัวหลี่กล่าว
หลัวป้าพยักหน้าอย่างช้าๆ ทำให้เขาเริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังคงจ้องมองไปที่หอคอยเก้าชั้นและหวังว่าคนผู้นั้นจะออกมาโดยเร็ว ยิ่งออกมาเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะรู้สึกโล่งใจมากขึ้นเท่านั้น และอยู่ในระดับเดียวกับเขา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง หอคอยชั้นที่หกก็ยังไม่ส่องแสง และมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากหอคอย
“หลินยู่!”
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถขึ้นไปหอคอยชั้นห้าได้!”
“หลินยู่ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลัวป้าเลยแม้แต่น้อย!”
“หึ่ม หลินยู่จะด้อยกว่าหลัวป้าได้อย่างไร!”
ในขณะที่ฝูงชนกำลังพูดโต้เถียงกัน สีหน้าของหลัวป้าก็ดูมืดมนมากยิ่งขึ้น แม้ว่าความสำเร็จของหลินยู่จะเท่ากับตัวเขา แต่เขาก็ยังคงไม่พอใจอยู่ดี
“เฮ้อ มีอัจฉริยะอีกคนที่สามารถขึ้นไปชั้นห้าได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจขึ้นไปชั้นที่หกได้ มิฉะนั้น – เฮ้อ!” ผู้อาวุของสำนักนภาสีชาดดูมีความสุข แต่ก็ดูโศกเศร้าด้วยความเสียดายในเวลาเดียวกัน
ท่ามกลางฝูงชน มีชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดลงมาจากก้อนหินและเผยให้เห็นรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในหอคอยเก้าชั้น กลิ่นอายของเขาดูน่าเกรงขามมากทำให้คนที่อยู่รอบข้างต้องหลบทางให้เขาเดินผ่าน และมีบางคนถึงขั้นทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความตกใจราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่ดุร้าย
“เจ้าหมอนั่นเป็นใครกันถึงดูน่ากลัวเป็นบ้า!”
“ข้าได้ยินมาว่าพ่อของเขามาจากถิ่นทุรกันดารทางภูมิภาคใต้และเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองจักรพรรดิเมื่อไม่กี่วันก่อน ระหว่างนั้นเขาได้เข้าไปในต่อสู้ลานประลองยุทธ ซึ่งเขาได้ต่อสู้ไปสิบสามครั้งและชนะสิบสามครั้งติดต่อกัน!”
“เจ้าพูดว่าไงนะ เขาชนะสิบสามครั้งติดต่อกันในลานประลองยุทธ? ถ้างั้นอย่างน้อยเขาจะต้องกลายเป็นอัจฉริยะระดับหนึ่งดาวแล้ว”
“ถูกต้อง ซึ่งตามกฎของการจัดอันดับในลานประลองยุทธ เพียงแค่ชนะสิบครั้งติดต่อกันก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะระดับหนึ่งแล้ว”
“แล้วการต่อสู้รอบครั้งที่สิบสี่ล่ะ? เขาพ่ายแพ้หรือไม่?”
“ไม่ แต่เขาเลือกที่จะไม่ต่อสู้ต่อ”
“เพราะอะไร?”
“เขาพูดแค่ว่าหิวเลยไม่อยากต่อสู้!”
พรวด!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลายคนอดที่จะหัวเราะไม่ไหว นั่นน่ะหรือคือเหตุผลที่เขาหยุดต่อสู้รอบถัดไป หรือว่าเขาจะเป็นพวกเห็นแก่กิน?
“อย่างไรก็ตาม แรงกดดันของเขามันน่าสะพรึงกลัวมาก แม้ว่าข้าจะแข็งแกร่งเท่าเขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปมีเรื่องกับเขาเลย”
“การต่อสู้ที่ชนะโดยไม่ต้องสู้ นั่นแหละคือความน่าเกรงขามที่แท้จริง!”
หลังจากหัวเราะเสร็จ สีหน้าของทุกคนเริ่มแสดงออกอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้นและหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก
“แล้ว…แล้วเขามีชื่อว่าอะไร?”
“หม่าชิง!”่