Alchemy Emperor of the Divine Dao - ตอนที่ 899
“แมวอะไรกัน มันแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?” หลี่เหว่ยเหว่ยถาม ในเมื่อนางเป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แน่นอนว่านางไม่กล้วจางเต๋อหมานตำหนิ
จางเต๋อหมานเพียงแค่ยิ้มให้นางและพูดว่า “ข้าก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก แต่เจ้าของของมันคือ ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าสำนักของพวกเรานั่นเอง!”
“เจ้าสำนักฝ่ายตงชี?” หลี่เหว่ยเหว่ยถามอีกครั้ง
จางเต๋อหมานส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เป็นเจ้าสำนักฟู่ฮุ่ย!”
ครั้งนี้ทุกคนดูแปลกใจเล็กน้อย แม้แต่หลี่เหว่ยเหว่ยเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
ฟู่ฮุ่ยคือเจ้าสำนักนภาสีชาดไม่ใช่เจ้าสำนักฝ่าย! และเขาคือจอมยุทธระดับดารา ซึ่งในปัจจุบันไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตอนนี้เขาอยู่ระดับไหนแล้ว เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ปิดด่านฝึกตน
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้สำนักนภาสีชาดทั้งสี่ฝ่ายเกิดความแตกแยกและแข่งขันกันอย่างดุเดือด
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสี่ฝ่ายมีเจ้าสำนักเป็นของตัวเองที่เรียกว่าเจ้าสำนักฝ่าย และพวกเขายังเป็นถึงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด ภายในจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะถือว่าเป็นจอมยุทธอันดับต้นๆ
อย่างไรก็ตาม อย่าได้ดูถูกจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดกับจอมยุทธระดับดาราเพียงแค่ห่างกันขั้นเดียวเชียว ช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นแตกต่างกันมาก เหมือนกับอัจฉริยะระดับหนึ่งดาวและห้าดาว
แม้ว่าหลี่เหว่ยเหว่ย หม่าชิงและคนอื่นที่ต่างก็เป็นอัจฉริยะกันทั้งหมด แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองสามารถทะลวงผ่านระดับดาราได้ในอนาคต แม้แต่ระดับสุริยันจันทรายังเป็นเรื่องยากเลย
มันไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใดที่จะพูดว่าในระยะเวลาห้าปีจะมีศิษย์เพียงแค่คนเดียวจากสิบคนที่สามารถทะลวงผ่านระดับภูผาวารีได้ นั่นเป็นเพราะทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาต่างก็เป็นอัจฉริยะกันอยู่แล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะบรรลุระดับภูผาวารีขั้นกลางได้หนึ่งในสิบคน และคนที่จะบรรลุขั้นสูงได้มีเพียงแค่หนึ่งในร้อยคน ส่วนคนที่บรรลุขั้นสูงสุดได้มีเพียงแค่หนึ่งในพันคน และคนที่สามารถทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราได้จะมีแค่หนึ่งในหมื่นคนเท่านั้น
แล้วช่วงเวลาที่เปิดรับศิษย์พวกเขาจะรับเพียงไม่กี่คนได้อย่างไร?
“แมวขาวตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยวของเจ้าสำนักฟู่ฮุ่ย พวกเจ้าไม่ควรไปยุ่งกับมันจะดีกว่า และถึงแม้มันจะกัดเจ้าหรือฉี่รดหัวพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องอดทนเอาไว้! ในอดีตเคยมีคนหนึ่งทำร้ายเจ้าแมวตัวนั้นและถูกเจ้าสำนักฟู่เฮ่ยขับไล่ออกจากสำนักมาแล้ว!” จางเต๋อหมานพูดด้วยยสีหน้าจริงจัง
“เอ่อ หรือว่าคนผู้นั้นจะเป็นบุตรคนที่เจ็ดของตระกูลอ้าย?” ใครบางคนถาม
“ถูกต้องคนผู้นั้นมีชื่อว่าอ้ายชง” จางหม่าเต๋อพยักหน้า
“แม้ตระกูลอ้ายจะไม่ใช่ตระกูลอันดับต้นๆ แต่ก็เป็นตระกูลชั้นสอง แต่เจ้าสำนักฟู่ฮุ่ยก็ไม่ลังเลเลยที่จะขับไล่เขาออกจากสำนัก!”
“อย่าเข้าไปยุ่งกับเจ้าแมวตัวนั้นจะดีกว่า!” ทุกคนคิดอยู่ในใจ
ศิษย์ส่วนใหญ่นั้นจะอาศัยอยู่ในหอพักที่ทางสำนักจัดเตรียมไว้ให้ แต่ก็มีศิษย์จำนวนหนึ่งที่จะกลับบ้านของตัวเองในตอนกลางคืนเช่นกัน
ในที่สุดหลิงฮันก็เดินมาถึงที่พักของเขา ที่พักที่ทางสำนักนภาสีชาดจัดให้เขานั้นมีขนาดใหญ่ทีเดียว มันเป็นบ้านพร้อมสวน แม้จะไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็มีห้องนั่งเล่นและห้องนอน
หลิงฮันรู้สึกพึงพอใจและนั่งพัก หลังจากนั่งพักได้ชั่วครู่ เขาก็เริ่มคิดเกี่ยวกับแผนการครั้งต่อไป
หาเงิน!
แต่เงินที่เขาหมายถึงมันไม่ใช่ทั้งทองคำและเงิน แต่เป็นผลึกก่อเกิด นี่เป็นสกุลเงินที่หาได้ยากในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับผลึกก่อเกิดของโลกใบเล็ก
ถ้าเขามีผลึกก่อเกิดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก เขาก็จะสามารถซื้อทรัพยากรบ่มเพาะพลังได้ทุกประเภท
แล้วเขาจะหาเงินได้อย่างไร?
หลิงฮันเกาคางและหยิบวัตถุดิบทำอาหารออกมาจากหอคอยทมิฬและเริ่มทำอาหารโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่กี่วันก่อน เขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ทำให้เขารู้สึกเกรงใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาอยู่ในบ้านของตัวเองแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องสนใจใครอีกต่อไปและทำตัวให้ผ่อนคลายได้
ดูเหมือนเขาจะอยู่กับฮูหนิวนานเกินไป เลยเผลอทำอาหารขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว
เฮ้อ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ฮูหนิว พ่อแม่ของข้า เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและลูกของข้ากำลังทำอะไรอยู่
แล้วอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากหอคอยทมิฬจะขายได้ไหมนะ?
แล้วมันมีภัตตาคารที่จ่ายด้วยผลึกวิญญาณหรือไม่? สงสัยข้าต้องให้คนใหญ่คนโตชิมมันเสียก่อน
ตามนั้น!
จริงสิทำไมข้าไม่ใช่ประโยชน์จากหลี่เหล่ยเหล่ยกัน?
ถ้าข้าร่วมมือกับคุณหนูสี่ที่เป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แล้วใครจะไม่กล้าไว้หน้านาง?
หลิงฮันพยักหน้า นอกจากนี้เขายังเป็นนักปรุงยา เม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่ต้องการมากในหมู่จอมยุทธระดับทลายมิติและระดับภูผาวารี ซึ่งแม้แต่ทองคำและเงินก็ไม่สามารถซื้อมันได้ มีเพียงแค่ผลึกก่อเกิดเท่านั้นที่ใช้ซื้อมันได้!
การปรุงยาคือสิ่งที่เขาถนัดที่สุด ที่แม้แต่จักรพรรดิดาบ จักรพรรดิกระบี่ตะวันลับฟ้าที่จองหองยังต้องก้มหน้าให้กับเขา
และถ้าเขาจะปรุงยาขาย เขาก็มีหนทางเช่นกันคือให้หลี่เหว่ยเหว่ยช่วยติดต่อหาพ่อค้า
พรึบ!
ในขณะที่หลิงฮันกำลังปล่อยหนูทองคำออกมาจากหอคอยทมิฬ เพื่อที่จะใช้ความสามารถที่เป็นประโยชน์ของมัน แต่ทันทีที่เขาหันหลังกลับไป เขาก็พบว่าเนื้อสัตว์สองชิ้นบนตะแกรงได้หายไปแล้ว
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกแปลกใจ ทั้งที่เนื้ออยู่บนตะแกรงต่อหน้าต่อหน้าเขา แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายขโมยได้ในพริบตา มันรวดเร็วขนาดไหนกันถึงขโมยต่อหน้าเขาได้?
เมื่อหลิงฮันกวาดสายตามอง ดวงตาของเขาแทบตาถลนออกมาจากเบ้าตา
เขาเห็นเจ้าแมวขาวตัวอ้วนอยู่บนกำแพง และมันกำลังกินเนื้อที่หลิงฮันย่างเอาไว้อยู่บนตะแกรง
ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกถึงคำพูดของจางเต๋อหมานได้ทันที นี่คือเจ้าแมวขาวที่เขาพูดถึง!
ปากของหลิงฮันกระตุกเล็กน้อย แค่วันแรกหลังจากเข้าสำนัก เขาก็พบเจ้าแมวขาวที่ไม่อาจยั่วยุมันได้แล้ว ทั้งยังขโมยเนื้อของเขาไปอีก!
เจ้าแมวขาวอ้วนหันหน้าไปมองหลิงฮันอย่างเฉยเมย และไม่กลัวว่าจะถูกทำร้าย และส่งเสียงร้องเมี๊ยวๆใส่ มันต้องการจะสื่อว่าแน่จริงก็จับข้าให้ได้สิ
หลิงฮันรู้สึกเหมือนถูกยั่วยุ แต่เขาก็จำคำพูดของจางเต๋อหมานได้ว่าอย่าได้ทำร้ายเจ้าแมวขาวอ้วนตัวนี้ ซึ่งมันฟังดูไร้เหตุผลมาก แต่หลิงฮันก็ไม่สามารถทำอะไรได้และพูดตะคอกใส่มันว่า “เจ้าแมวขโมย ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่ครั้งหน้าเจ้าจะไม่มีวันขโมยของของข้าได้อีก!”
เจ้าแมวขาวอ้วนตัวนี้เองก็เป็นสัตว์อสูรระดับทลายมิติ แม้ว่าร่างกายของมันจะเป็นแมวอ้วน แต่ก็มีความเร็วที่น่าทึ่งที่แม้แต่หลิงฮันยังตามความเร็วของมันไม่ทัน ตราบใดที่เขายังไม่ทะลวงผ่านระดับพลังของพระเจ้า
“เมี๊ยว!” เจ้าแมวอ้วนส่งเสียงร้องอย่างภาคภูมิใจ มันต้องการที่จะพูดว่าถ้าข้าอยากกินเจ้าจะไม่ให้ข้ากินได้อย่างไร? มันคาบเนื้อที่เหลือไปและกระโดดลงจากกำแพงก่อนที่จะเดินจากไป