Almighty Game Designer ใครจะออกแบบเกมได้เทพเท่าผม! - บทที่ 192 ข้อดีที่เห็นได้อย่างชัดเจน
- Home
- Almighty Game Designer ใครจะออกแบบเกมได้เทพเท่าผม!
- บทที่ 192 ข้อดีที่เห็นได้อย่างชัดเจน
บทที่ 192 ข้อดีที่เห็นได้อย่างชัดเจน
เฉินโม่เป็นคนปรับความยากของเกมนี้ เพราะเขาจะไม่ปล่อยผู้เล่นไปอย่างราบรื่นเหมือน ‘Diablo 3’ ในชีวิตก่อน
แม้มอนสเตอร์จะไม่มีความยาก แต่โจวจัวก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อมอนสเตอร์พุ่งเข้าหาเขาด้วยท่าทางดุร้าย
พอเดินไปตามทางนักล่าปีศาจมาถึง New Tristram หลังจากเอาชนะพวกมอนสเตอร์ที่พยายามบุกเข้ามาในเมืองแล้ว นักล่าปีศาจก็เข้าไปในเมืองและเริ่มภารกิจของตัวเอง
คำแนะนำของเกมนั้นดีมาก แผนที่เล็กๆ ที่ด้านขวาบนของหน้าจอจะเตือนผู้เล่นว่าจะไปที่ไหนต่อไป นอกจากนี้ยังมีการแจ้งเตือนภารกิจทางด้านขวา
โจวจัวเริ่มสัมผัสเรื่องราวทั้งหมดของ ‘Diablo’ ตามคู่มือภารกิจ
ในไม่ช้าโจวจัวก็สังเกตเห็นข้อดีที่ชัดเจนของเกมนี้
ในแง่ของคุณภาพของเกม การเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นและการใช้งานก็สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเอฟเฟ็กต์เสียงก็อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม มันเหนือกว่าเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่งหลายๆ เกมในแง่มุมต่างๆ แม้จะเป็นเกมมุมมองบุคคลที่สามก็ตาม
เห็นได้ชัดว่าเฉินโม่ไม่ได้สร้างเกมบุคคลที่สามเพื่อ ‘ปกปิดข้อบกพร่อง’ และไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่งได้ แต่เพราะเขาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการทำเกมมุมมองบุคคลที่สามจากการพิจารณาบางประการ
ในแง่ของรูปแบบศิลปะ สไตล์ลัทธิของ ‘Diablo’ ทำให้โจวจัวประหลาดใจ เฉินโม่พยายามสร้างบรรยากาศของ ‘Diablo 2’ ดังนั้นภาพทั้งหมดจึงดูชั่วร้าย มืดมน และน่าหดหู่ใจ
เมื่อโจวจัวควบคุมนักล่าปีศาจให้เข้าไปในถ้ำของซากศพ ฉากในนั้นให้ความรู้สึกเหนียวเหนอะจากเลือด
สถานที่ที่เงียบสงบบางแห่งในแผนที่จะได้ยินเสียงประทุของไฟ เสียงฝีเท้าของตัวละครจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มอนสเตอร์ที่ปรากฏขึ้นกะทันหันทำให้ผู้เล่นตกใจและให้ความรู้สึกว่าเส้นทางนี้เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อรวมกับภาพวาดสไตล์นี้รวมถึงแผนที่ที่สร้างขึ้นแบบสุ่มที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความรู้สึกของ ‘การผจญภัย’ จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้เฉินโม่ยังคงออกแบบเงามืดและระยะการมองเห็นของ ‘Diablo 2’ เมื่อผู้เล่นเข้าไปในถ้ำ ขอบเขตการมองเห็นของพวกเขาจะเล็กลงมาก เนื่องจากหน้าจอส่วนใหญ่ของพวกเขาจะกลายเป็นสีดำสนิท มองเห็นได้เฉพาะโครงร่างของภูมิประเทศเท่านั้น ทำให้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมอนสเตอร์ในพื้นที่นี้
ใน ‘Diablo 3’ ผู้เล่นสามารถเห็นมอนสเตอร์ทั้งหมดบนหน้าจอได้อย่างชัดเจนโดยไร้แรงกดดัน ดังนั้นความรู้สึกที่ไม่รู้จักนี้จึงอ่อนลงอย่างมาก ทำให้เกมนี้เป็นเกมที่ ‘มองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง’
หลังจากที่เฉินโม่เพิ่มเงาและขอบเขตการมองเห็น ร่วมกับกราฟิก เอฟเฟ็กต์เสียง และการออกแบบระดับเกมแล้ว ทำให้โจวจัวรู้สึกกังวลและประหม่าตลอดทั้งเกม แต่ความรู้สึกนี้กระตุ้นให้เขาเล่นต่อไป ซึ่งเขาไม่มีความคิดที่จะเลิกเล่นเกมเพราะความอัดอั้นตันใจนี้เลย
เขารู้สึกว่าเกมนี้แตกต่างจากเกม RPG เลี่ยนๆ ในตลาด ไม่มีฉากสวยๆ อย่างสนามเด็กเล่น ไม่มีอัศวินในชุดเกราะไร้ฝุ่น สิ่งเดียวในเกมนี้คือซากศพ โครงกระดูก ผี และความสิ้นหวังไม่รู้จบ
นักล่าปีศาจเดินเข้าไปในวิหาร Tristram อย่างโดดเดี่ยว มีเพียงทหารรับจ้างเงียบๆ ที่ต่อสู้เคียงข้างเขา
(ณ จุดนี้ เฉินโม่ยังทำตามการออกแบบของ ‘Diablo 2’ โดยตัดบทสนทนาเกี่ยวกับทหารรับจ้างออกไปทั้งหมด ให้ผู้เล่นดื่มด่ำกับบรรยากาศสยองขวัญได้ดีขึ้น)
ในแง่ของรูปแบบการเล่น โจวจัวเองก็ยังพบเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจมากมาย
ระบบอุปกรณ์มีความสมบูรณ์มาก ในระหว่างการผจญภัย โจวจัวใช้อุปกรณ์พวกนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี คำศัพท์ของแต่ละอุปกรณ์ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีอุปกรณ์สองชิ้นที่เหมือนกัน
มีการผสมทักษะที่หลากหลายและระบบการต่อสู้ที่หลากหลาย เมื่อตัวละครเลเวลอัป ทักษะต่างๆ จะถูกปลดล็อกอย่างต่อเนื่อง เมื่อรวมกับความสามารถพิเศษและหินรูนของทักษะ ผู้เล่นสามารถค้นหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุดจากสิ่งที่พวกเขามี และนี่เป็นกระบวนการที่โจวจัวสามารถเพลิดเพลินได้อย่างเต็มที่
และที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกสดชื่นขณะเล่นเกม! นี่เป็นความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่าง ‘Diablo’ เมื่อเทียบกับเกม RPG อื่นๆ
ในเกมอื่นๆ โดยเฉพาะเกมออนไลน์ เมื่อเทียบกับทั้งโลกแล้วมีผู้เล่นน้อยมาก ไม่ต้องพูดถึง BOSS ที่ต้องการคนจำนวนมากมาร่วมแรงใจกันเพื่อเอาชนะ และไม่ต้องพูดถึง NPC ระดับผู้นำของกองกำลังหลัก ไม่มีความแตกต่างในด้านพลังมากนักเมื่อพิจารณาระหว่างผู้เล่น ผู้เล่นทั่วไปหลายคนในเกม MMORPG รู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงผู้เล่นธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ‘Diablo’ นั้นต่างออกไป ในเกมนี้คุณคือเทพเจ้าและผู้กอบกู้เพียงหนึ่งเดียว จากจุดเริ่มต้นในฐานะนักผจญภัยในเมืองเล็กๆ ของ New Tristram ไปจนถึงการเอาชนะราชาแห่งการโกหก Belial เพื่อช่วยนักรบแห่ง Caldeum จากนั้นฮีโร่ผู้พิทักษ์ป้อมปราการและต่อสู้ทวนกระแส จนในทึ่สุดก็เอาชนะ Diablo เทพปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดราชาปีศาจได้ และชื่อของ Nephalem ก็ดังก้องไปทั่วนรกและสวรรค์สูงสุด
เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจจากนรกที่หลั่งไหลมาราวกับกระแสน้ำ ผู้เล่นจะควบคุมตัวละครของตัวเองให้เข่นฆ่ากวาดล้างไปทั่ว ทิ้งไว้เพียงซากศพและอุปกรณ์ที่ร่วงหล่นเกลื่อนกลาดทั่วพื้น
แน่นอนว่าคุณอาจตายในสนามรบ เสียเงินบางส่วน แล้วยังต้องวิ่งกลับไปยังที่ที่ศพเคยอยู่เพื่อนำอุปกรณ์ของตัวเองกลับมา (เป็นไปตามการออกแบบของ ‘Diablo 2’ )
นี่คือโลกที่อันตราย นี่คือโลกที่สิ้นหวัง สิ่งเดียวที่คุณวางใจได้คือตัวคุณเอง
แต่เป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ผู้เล่นสามารถสัมผัสกับความรู้สึกสดชื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นหลังจากดื่มด่ำไปกับเกม เพราะนี่คือโลกที่สิ้นหวัง มีแต่มอนสเตอร์และปีศาจมากมายไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องลังเลหรือสงสาร มีแต่ต้องฆ่าให้หมดให้ปีศาจพวกนั้นตายภายใต้ความโกรธแค้นของคุณ
โจวจัวหมกมุ่นอยู่กับเกมอย่างสมบูรณ์ เขาควบคุมนักล่าปีศาจเพื่อสำรวจในถ้ำมืด ด้วยขอบเขตการมองเห็นที่จำกัดทำให้เขามองเห็นพื้นที่วงกลมเล็กๆ รอบตัวเขา
ทันใดนั้น มอนสเตอร์จำนวนมากปรากฏตัวต่อหน้าเขาก่อนที่จะอ้าปากแยกเขี้ยวพุ่งเข้าใส่เขาโดยตรง!
ยังมีมอนสเตอร์หายากตัวหนึ่งที่ส่องแสงสีทองอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย โดยมันทิ้งแสงไว้เบื้องหลังในทุกย่างก้าว
เหล่าคนดูตกใจ “เชี่ย ระวัง รีบหลบเร็ว!”
ปริมาณเลือดของนักล่าปีศาจเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว โจวจัวเองก็ตกใจ เขารีบสงบสติอารมณ์และควบคุมนักล่าปีศาจให้กลิ้งตัวห่างออกมา จากนั้นจึงโยนกับดักต่างๆ ลงบนพื้น เขาเล็งหน้าไม้คู่และกระหน่ำยิงใส่กลุ่มมอนสเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง!
ภายใต้ฝนลูกดอกที่โปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า มอนสเตอร์ขนาดใหญ่ส่งเสียงครวญคราง มอนสเตอร์ลูกกระจ๊อกอ่อนแอเริ่มล้มลง แต่แถบเลือดของมอนสเตอร์หายากขนาดใหญ่นั้นยังคงเยอะอยู่และยังคงพุ่งเข้าหานักล่าปีศาจ
โจวจัวเดินไปยิงไปอย่างช่ำชองชำนาญ ปลดปล่อยทักษะทั้งหมดอย่างแม่นยำ
อย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่งของเกม ‘Warcraft’ ทำให้เขาจัดการสถานการณ์แบบนี้ได้สงบมากโดยไม่มีอาการตื่นตระหนกอะไรเลย
…………………………