Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1236
บทที่ 1236 – ไร้หนทางถอย,จดหมายท้าประลอง
ตู้ม!
การโจมตีอย่างลึกซึ้งของชิงสุ่ยได้ปะทะเข้ากับชายชราอย่างจัง ชิงสุ่ยขยับเพียงเล็กน้อยในขณะที่ชายชรากลับถอยหลังไปสองก้าว ชิงสุ่ยเตรียมพุ่งเข้าใส่อีกครั้งโดยใช้ทักษะย่างก้าวเก้าเทวาและโจมตีด้วยท่วงท่าไท้เก๊กสังหาร
ในตอนนี้ ท่วงท่าไท้เก๊กของเขาถูกทิ้งเหลือไว้เพียงร่องรอยเท่านั้น เมื่อเคลื่อนไหวด้วยท่าเท้าทักษะย่างก้าวเก้าเทวา แต่ละก้าวย่อมมาพร้อมกับความน่ากลัว ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ชายชราต้องเป็นฝ่ายถอยเพราะเขาเสียเปรียบตั้งแต่การออกตัวแล้ว
ฮึ!
หมัดและแขนของชายชรามีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าสามในสิบส่วนและผิวของมันเริ่มเป็นสีทองแวววาว ด้วยเสียงที่กำลังปะทุออกมา เขาพุ่งหมัดขนาดใหญ่ออกไปในทันที
หมัดวชิระคำราม!
ความแปลกใจปรากฏขึ้นมาในดวงตาของชิงสุ่ยอย่างฉับพลัน เขาเคยเห็นการใช้หมัดวชิระคำรามเช่นนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามวิชาที่เขาเห็นอยู่นี้มีความแตกต่างออกไป เขารู้ดีว่าชายชราในชุดเกราะสีทองจะต้องมีวิชาหมัดวชิระคำรามซึ่งเป็นวิชาขั้นสูงอยู่แน่ แน่นอนว่าในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกนี้มีผู้ที่ใช้วิชาขั้นสูงเช่นนี้ได้อยู่เพียงไม่กี่คน
เพลงหมัดวานร!
ชิงสุ่ยได้แสดงความสามารถกลับไปบ้าง แขนของเขาดูเหมือนจะขยายขึ้นเล็กน้อย ร่างกายของเขามีแสงสีทองส่องประกายด้วยทักษะกายาทองคำเก้าหยางเช่นกัน ดังนั้นเพลงหมัดวานรของชิงสุ่ยควรจะถูกเรียกว่าเพลงหมัดวานรวชิระเสียมากกว่า
ชื่อของวิชาไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือผลลัพธ์ที่ถูกแสดงออกในการต่อสู้ต่างหาก ในศึกต่อสู้ก็เช่นกัน ความแข็งแกร่งไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด ผู้ที่มีชีวิตรอดต่างหากคือผู้ชนะ
ตู้ม ตู้ม…
เสียงระเบิดดังขึ้นในอากาศอย่างต่อเนื่อง ชิงสุ่ยและชายชราต่างเรียกเกราะอสูรสำแดงของตนออกมาใช้งาน ลมหายใจของชิงสุ่ยมีความยาวมากและการโจมตีของเขายังคงถาโถมเป็นระลอกๆ ราวกับว่าไม่มีจุดสิ้นสุด
ยิ่งโจมตีไปเท่าไร ชายชราก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่เขาต้องถอยร่นจากการะทะกับชิงสุ่ยอีกครั้ง ถุงมือสีทองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนมือทั้งสองข้างของเขา
แน่นอนว่าถุงมือคู่นี้เป็นอาวุธของเขา อาจเป็นเพราะว่าเขาแอบชื่นชมชิงสุ่ยอยู่บ้างหลังจากการประลองมาสักพัก “นำอาวุธของเจ้าออกมา มิฉะนั้นเจ้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ชิงสุ่ยพยักหน้ารับ “ไม่ต้องกังวล เมื่อข้าต้องการใช้อาวุธ ข้าย่อมนำมันออกมาแน่นอน แต่ว่าให้ข้ากล่าวกับเจ้าสักหน่อย เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ยังไงเจ้าก็จะพบกับความพ่ายแพ้”
“อวดดียิ่งนัก! งั้นรับนี่ไป!”
ดูเหมือนว่าชายชราจะโกรธอยู่เล็กน้อย เขาขยับหลังของตัวเองให้ตรงพร้อมกับเอนไปข้างหลังเหมือนกับท่าเตรียมยิงธนู ร่างกายของเขากลายเป็นสีทองแวววาวพร้อมด้วยพลังที่พร้อมจะปะทุออกทุกเมื่อ จากนั้นเขาปล่อยมันออกไป
ไป!
ร่างของชายชราเปี่ยมไปด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ แสงสีทองรอบๆตัวเขามาพร้อมกับกระแสของแสงสว่างและเงามืด และในตอนนี้หมัดของเขาที่เหมือนกับสว่านเจาะพุ่งตรงไปหาชิงสุ่ย
หุบเขาเก้าเทวา!
ออกมา!
ชิงสุ่ยเรียกใช้งานหุบเขาเก้าเทวาโดยปราศจากความตื่นตระหนก ความสามารถของชายชราผู้นี้อยู่ที่ราวๆสี่ล้านเมฆา และนั่นเป็นพลังทั้งหมดของเขา คนที่มีพลังเช่นนี้จัดว่าอยู่ในอันดับสูงของสถาบันสวรรค์เร้นลับ
พลังสองล้านเมฆาคือจุดสูงสุดของระดับผู้พิทักษ์เทวะธรรมขั้นสี่ มีกำแพงขนาดใหญ่ที่กั้นอยู่ตรงนั้น ผู้คนจำนวนมหาศาลจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมัน เพื่อไปถึงระดับผู้พิทักษ์เทวะธรรมขั้นห้าได้
ใครก็ตามที่ไม่สามารถก้าวข้ามเกณฑ์นั้นออกไปก็จะไม่มีทางที่จะเพิ่มขีดความสามารถของตนได้ เห็นได้ชัดว่าชายชราในชุดเกราะสีทองคนนี้ถูกจัดอยู่ในพิทักษ์เทวะธรรมขั้นห้าและมีพลังอยู่ราวๆสี่ล้านเมฆาเลยทีเดียว
แต่น่าเสียดายที่หุบเขาเก้าเทวาของชิงสุ่ยมีพลังมากกว่าห้าล้านเมฆา ช่องว่างระหว่างการโจมตีทั้งสองช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ฝั่งหนึ่งมีมากกว่าห้าล้านเมฆาส่วนอีกฝั่งมีไม่ถึงสี่ล้านเมฆาด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อหุบเขาเก้าเทวาปะทะเข้ากับชายชราที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง ท่าทีของเขาก็ดูจะเปลี่ยนไป
เกราะเงาทองคำ!
ชายชราหยุดนิ่งอยู่กับที่ เขาสบัดตัวเล็กน้อยเพื่อสร้างภาพลวงตาในขณะที่เขากำลังล่าถอยออกไป!
ตู้ม!
หุบเขาเก้าเทวาชนเข้ากับภาพลวงตาอย่างจังพร้อมกับมุ่งไปหาชายชราอีกครั้ง
นี่เป็นการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธิ์ที่ใช้พลังทางกายภาพในการต่อสู้ เมื่อฝ่ายศัตรูมีพลังต่อสู้ทางกายภาพที่สูงกว่าจะถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเผชิญเลยทีเดียว
“พวกเราทุกคนจู่โจมเข้าไปพร้อมกัน! จับตัวมันออกมา! ”
บุคคลหนึ่งท่ามกลางหมู่ชายชราที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนตะโกนออกมา พร้อมเข้าร่วมการต่อสู้และพุ่งเข้าใส่ชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยไม่ได้แปลกใจอะไรทว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจและยังแฝงไปด้วยแววตาอันชั่วร้ายด้วยเช่นกัน เขาไม่ชอบผู้ที่ใช้วิธีการเช่นนี้ ถ้าหากว่าชิงสุ่ยเป็นผู้ที่เริ่มการต่อสู้นี้ขึ้นก่อนละก็ พวกมันคงจะโจมตีเข้ามาพร้อมกันตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องในวันนี้เกิดจากหนึ่งในพวกมันเป็นฝ่ายหาเรื่องชิงสุ่ยเสียก่อน เมื่อเห็นว่าพรรคพวกของตนเริ่มสู้ไม่ไหวจึงเริ่มโจมตีเข้ามาพร้อมๆกัน สำหรับการต่อสู้กับคนจำพวกนี้ชิงสุ่ยจะไม่ปล่อยให้มันจบลงอย่างสวยงามแน่นอน
รูปแบบดาราจักร!
แส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม!
ในตอนนี้ พลังวิญญาณของชิงสุ่ยยิ่งกว่าน่ากลัวเสียอีกแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม นี่เป็นเพราะเขาจะได้รับโอกาสเพิ่มขึ้นสองเท่าที่จะปัดป้องการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์ เขารู้สึกว่าไม่อยากฝากความหวังไว้กับโอกาสพวกนี้มากนัก
ปัง!
ชายชราผู้เป็นฝ่ายพุ่งตัวเข้ามาต้องกลับไปตั้งรับอย่างเต็มรูปแบบ แต่เขายังคงต้องสั่นสะเทือนจากการโดนแส้โจมตีพร้อมก้าวถอยหลังกลับไป พวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน เขาอ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับชายชราผู้ที่ใส่ชุดเกราะสีทองแต่ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสเทียนยี
ในตอนนี้ พลังของแส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่มของชิงสุ่ยมีพลังอยู่กว่าสามล้านเมฆา ยิ่งไปกว่านั้นมันยังพร้อมไปด้วยความยืนหยุ่นและลึกลับทำให้ยากต่อการปัดป้อง ชายชรากำลังจะตายด้วยแส้เพียงอันเดียว อีกทั้งตัวเขาถูกส่งกระเด็นไกลออกไป
ชายชราในชุดเกราะสีทองถูกตรึงไว้โดยหุบเขาเก้าเทวา จากชายชราสามคนที่ยังเหลืออยู่ หนึ่งคนได้รับบาดเจ็บสาหัสส่วนอีกสองคนกำลังเริ่มการต่อสู้เท่านั้น อย่างไรก็ตามพวกเขามีท่าทีที่จะหยุดเอาไว้แค่ตรงนั้น เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าชายผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวนั่นเลย และคงเป็นการกระทำที่โง่เง่าและไร้ประโยชน์ถ้ายังดื้อดึงต่อไป
“พวกเราคือผู้อาวุโสแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับ เจ้ากำลังทำผิดต่อผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่า!” ชายชราร่างท้วม หนึ่งในผู้ที่เหลืออยู่ตะโกนออกมา
“หยุดพยายามนำตำแหน่งอาวุโสออกมาอ้างเถอะ พวกท่านลงมือทำอะไรไปก่อนหน้านี้? แม้จะเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับก็ไม่มีสิทธิ์จะจับตัวใครสักคนไว้ตามอำเภอใจเสียหน่อย” แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ได้ตั้งใจฆ่าพวกเขา แต่ว่าเขาจะไม่ปล่อยไปง่ายๆอย่างแน่นอน
“รองผู้อาวุโสจิน ดูเหมือนว่าท่านจะชนเข้ากับแผ่นเหล็กเสียแล้วสินะ”
ทันใดนั้น มีเสียงหัวเราะออกมาจากชายชราหลายคน ก่อนที่จะมองเห็นพวกเขาเสียงหัวเราะพวกนั้นได้
ปรากฎขึ้นมาก่อนแล้ว
ดูจากชุดคลุมของพวกเขาแล้ว ชิงสุ่ยรู้ดีว่าพวกเขาคือผู้คนจากนิกายโลกานฤเบศ
“นี่เป็นธุระของพวกเราเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องของพวกนิกายโลกานฤเบศเช่นพวกเจ้าเลย หยุดยื่นจมูกเข้ามาแส่เรื่องของคนอื่นได้แล้ว” แม้แต่ชายชราในชุดเกราะสีทองที่อยู่ในจุดเป็นตายยังโตะโกนออกไปยังกลุ่มผู้ที่เพิ่งมาถึง
“ฮาฮ่า เช่นนั้นพวกเราจะยืนดูพวกเจ้าโดนเล่นงานก็แล้วกัน เหตุใดยังคิดว่าพวกตนยังแข็งแกร่ง? เหตุใดถึงเอาจำนวนคนมากและสถานะเข้าข่ม?” ชายชรากล่าวด้วยใบหน้าที่มีความสุข
คำพูดเหล่านั้นทำให้ชายชราในชุดเกราะสีทองและคนอื่นๆเต็มไปด้วยความโกรธ ชายชราในชุดเกราะสีทองผละตัวห่างออกจากหุบเขาเก้าเทวาในขณะที่อีกสองคนกำลังช่วยเหลือเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อสบโอกาสที่ดีพวกเขาทั้งหมดก็ได้หลบหนีไป
ก่อนจากไปพวกเขาไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะกล่าวอะไร ก็ยิ่งแต่สร้างความอัปยศให้พวกตัวเองทั้งสิ้น ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเขาไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้และเหล่าคนอื่นๆที่ได้มอบบทเรียนให้กับพวกเขา
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีวรยุทธิ์สูงเลยทีเดียว!”
ชายชราท่านนี้มีรูปร่างคล้ายกับพระศรีอริยเมตไตรย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยิ้มออกมาแต่ใบหน้าของเขาเหมือนกับมีรอยยิ้มอยู่ตลอด ชิงสุ่ยรู้ดีกว่าบุคคลประเภทนี้หากไม่ใช่คนดีมากๆก็จะเลวร้ายมากๆไปเลย
“ข้าน้อยขอคาราวะ!” ชิงสุ่ยรู้ว่าเขามาจากนิกายโลกานฤเบศและอาจมีความเกี่ยวข้องกับเทียนเจียง
“เมื่อเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เจ้าหนุ่มเทียนคงจะกังวลมากไปและยืนยันว่าพวกเราต้องมาที่นี่” ชายชรากล่าวอย่างอบอุ่น
“ข้าเพียงแค่ประสบกับปัญหาเล็กน้อยก็เท่านั้น ทำไมพวกท่านไม่มาดื่มชากับข้าเสียหน่อยล่ะ” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสุภาพ เขารู้ดีว่าเจ้าหนุ่มเทียนที่พวกเขากล่าวถึงจะต้องเป็นเทียนเจียงอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าสถานะของเทียนเจียงในนิกายโลกานฤเบศกำลังก้าวหน้าขึ้นแล้ว
“ไว้คราวหน้าแล้วกัน ต่อไปพวกเราจะต้องมีโอกาสอีกมากมายที่จะได้พบกันอีก พวกข้ายังมีบางอย่างที่ต้องทำ เช่นนั้นต้องขอตัวก่อน”
“ตกลง!”
ชิงสุ่ยเฝ้าดูพวกเขาจากไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการมาของชายพวกนี้ ก็เป็นความประสงค์ของเทียนเจียง และมันอาจจะนับได้ว่านิกายโลกานฤเบศได้ช่วยเขาไว้ในครั้งนี้
เมื่อชายชราทั้งสีได้จากไป เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ควรจะปรากฏออกมาอีกครั้ง นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังได้มอบบาดแผลสาหัสกับพวกนั้นเอาไว้ ถ้าหากไม่มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นอีกล่ะก็ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องกลับมาโจมตีชิงสุ่ยอีกแน่นอน
หลังสิ้นการต่อสู้ในครั้งนี้ ชื่อเสียงของชิงสุ่ยถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทั่วทั้งสถาบันสวรรค์เร้นลับ บางข่าวลือยังกล่าวไว้อีกว่าเขาได้จัดการกับชายชราทั้งสี่ด้วยตัวเอง หรือแม้กระทั่งข่าวที่ว่าชิงสุ่ยได้เขียนจดหมายท้าประลองต่อเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ชี้เป็นชี้ตายภายในสองวัน
ชิงสุ่ยไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าข่าว่าลือพวกนั้นอาจจะถูกอีกฝ่ายปล่อยออกมาก็เป็นได้ แม้กระทั่งข่าวเกี่ยวกับจดหมายท้าประลองก็ยังปรากฎ ชิงสุ่ยตระหนักดีว่าจะต้องเป็นกับดักของบางคนที่ตั้งเอาไว้ ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้จะต้องเป็นเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
ข่าวลือเล่าไว้ว่าชิงสุ่ยมีความยโสโอหังเป็นอย่างมาก เขาได้ท้าทายเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์และแม้กระทั่งใช้วืธีสกปรกวางยาพิษต่อน้องชายของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาได้กล่าวขอให้ชิงสุ่ยช่วยรักษาอาการจากพิษนั้นแต่ชิงสุ่ยกลับทำร้ายเหล่าผู้อาวุโสและไม่มีท่าทีเคารพต่อผู้ที่อาวุโสกว่า
หลายๆคนไม่ทราบถึงสถานการณ์ทีเกิดขึ้นจริงๆและคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้คงอยากสร้างชื่อ ดังนั้นผู้คนจำนวนมากมีท่าทีรังเกียจต่อชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยไม่รู้สึกอะไรต่อข่าวลือพวกนี้ ไม่ว่าข่าวมันจะมั่วสักแค่ไหนก็ไม่สามารถรบกวนจิตใจของเขาได้ เขามีจุดยืนที่ชัดเจนและไม่ว่าคนอื่นๆจะคิดยังไง นั่นไม่ใช่ปัญหา คนเรานั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเสียงของคนอื่น ไม่เช่นนั้นคงจะเหนื่อยเกินไปถ้าหากต้องทำให้ทุกคนพึงพอใจ
ชิงสุ่ยนั่งอยู่ในศาลาพร้อมหยิบพู่กัน,หมึก และกระดาษออกมา
“ในเมื่อพวกท่านปล่อยข่าวลือเรื่องการท้าประลองออกมาแล้ว ฉะนั้นทำให้มันเป็นจริงเสียเถอะ นี่คงจะทำให้ความปราถนาของท่านเป็นจริง” ชิงสุ่ยคิดเล็กน้อยและเริ่มเขียนมันลงบนแผ่นหนังสัตว์อสูร
เมื่อองค์หญิงใหญ่เดินเข้ามา ชิงสุ่ยก็ได้เสร็จธุระของเขาพอดิบพอดี
“เจ้ากำลังเขียนอะไรอยู่งั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่ยิ้มพร้อมมองไปยังแผ่นหนังสัตว์อสูรที่วางอยู่บนโต๊ะหิน
“จดหมายท้าประลอง!” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“เจ้าต้องการที่จะท้าประลองกับเขางั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่พูดด้วยความตกตะลึง ปากอันมีเสน่ห์ของนางเปิดออกด้วยท่าทีประหลาดใจ เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นริมฝีปากอันมีเสน่ห์เช่นนั้นทำให้มีความคิดชั่วร้ายโผล่ขึ้นมาในหัวของเขาเล็กน้อย เขารีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป
“ใช่แล้ว เมื่อเขาปล่อยข่าวลือเรื่องการประลองออกมา คงจะเป็นการดีกว่าถ้าเราเริ่มมันเสียเลย”ชิงสุ่ยพูดโดยไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
องค์หญิงใหญ่จ้องมองไปยังชิงสุ่ย นางรู้สึกว่านางไม่เข้าใจชายผู้ที่มีท่าทีสงบต่อหน้านางเลย เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักนางกล่าวอย่างเชื่องช้า “เจ้ามีความมั่นใจเพียงใดว่าจะชนะเขา?”
“สามในสิบส่วน!” ชิงสุ่ยกล่าวออกมา
“เจ้าจะประลองกับเขาแม้จะมีโอกาสชนะเพียงสามในสิบส่วนได้อย่างไร?” องค์หญิงใหญ่กล่าวต่อชิงสุ่ยด้วยความเหลือเชื่อ
“อาจเป็นเพราะข้ายังไม่รู้ถึงความสามารถของเขา ในบางครั้ง ก็มีเรื่องที่ผู้ชายอย่างข้าจะต้องเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่”
เมื่อชิงสุ่ยกล่าวว่าสามในสิบส่วนแล้วนั้น เขาไม่ได้พูดมันขึ้นมาลอยๆอย่างแน่นอน เขาประเมินแล้วว่าโอกาสชนะมีอยู่สามในสิบส่วนจริงๆ แต่ถ้าหากขัดเกลาพลังในร่างกายออกมาได้อย่างดี เขากลับรู้สึกว่าโอกาสชนะมีถึงแปดในสิบส่วนเลยทีเดียว
นั้นเป็นเพราะชิงสุ่ยมีทั้งลมปราณจักรพรรดิ,มังกรไอยราเกล็ดทองคำ และวชิระสยบอสูร ไม่ว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน มีความสามารถเพียงใด ถ้าหากเขาสามาถใช้งานพลังในร่างกายได้เป็นอย่างดี เขาจะสามารถครอบครองพลังที่เกินกว่าสิบล้านเมฆาไปได้เสียอีก
เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีเวลามากพอหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่ล่ะ เช่นนั้นเขาคงต้องพึ่งพาความสามารถของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ตัวชิงสุ่ยเองก็ยังไม่มั่นใจเช่นเดียวกันว่าการพึ่งพามังกรไอยราเกล็ดทองคำจะเพียงพอกับการต่อกรกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่