Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1237
บทที่ 1237 – ผู้หญิงย่อมเป็นสาเหตุของปัญหา ความสับสน สวมกอดองค์หญิงใหญ่
มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาในการปกป้องตัวเอง อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าสามารถทำได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา เขาประเมินไว้ว่าพลังของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ราวๆสิบห้าล้านเมฆา เมื่อเผชิญกับพลังที่สูงเช่นนี้ ชิงสุ่ยเองก็มีวิธีที่ทำให้ผลออกมาเสมออยู่ นั่นคือการประสานกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำนั่นเอง
พลังราวๆสิบห้าล้านเมฆา… ในครั้งหนึ่งชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำเกือบจะก้าวไปถึงแล้ว พลังในตอนนั้นมีส่วนต่างอยู่ที่ราวๆหนึ่งล้านหนึ่งแสนเมฆา ภายใต้เงื่อนไขที่มังกรไอยราเกล็ดทองคำอยู่ในความพร้อมสูงสุดพลังของมันอยู่ที่ราวๆสิบล้านเมฆา เมื่อนำมารวมกับพลังของตัวเขาเองแล้ว สามารถต่อกรกับผู้ครอบครองพลังสิบห้าล้านเมฆาได้สูสีเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้กล่าวถึงแค่ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามมังกรไอยราเกล็ดทองคำเป็นถึงสัตว์อสูรแห่งสวรรค์และโลก ชิงสุ่ยคิดว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำจะสามารถจัดการกับพลังสิบห้าล้านเมฆาได้เมื่ออีกฝ่ายอ่อนแอลง ชื่อของสัตว์อสูรแห่งสวรรค์และโลกไม่ได้มีไว้ประดับเพียงเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจส่งจดหมายท้าประลองนี้ออกไป เขาคิดว่าถ้าหากมังกรไอยราเกล็ดทองคำร่วมมือกับเขาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เขาจะสามารถรักษาจุดยืนของตนที่จะไม่มีทางแพ้เอาไว้ ตราบเท่าที่เขายังต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามไว้ได้จะต้องมีโอกาสให้เขาเอาชนะด้วยสัตว์อสูรตัวนี้เป็นแน่
“สุดท้ายแล้วเจ้าก็กลับมาพึ่งพาสัญชาตยานของตัวเองจนได้ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่งั้นหรือ?”องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์
ชิงสุ่ยเรียกสติของตัวเองกลับมาพร้อมมองไปยังองค์หญิงใหญ่ด้วยท่าทีเขินอาย นางขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางกังวลกับเรื่องนี้จริงๆ เขาเปิดปากพร้อมกับยิ้มออก “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าอยู่ใช่ไหม?”
ท่าทางการพูดของเขาดูสนุกสนาน นี่เป็นเพราะเขาต้องการเปลี่ยนบรรยากาศที่ตึงเครียดให้ผ่อนคลายมากขึ้น หลังสิ้นคำพูดของตนเองลงเขามีความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าทั้งสองคนจะกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขาก็ยังคงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเหมาะสมที่จะพูดออกไปเช่นนี้
“ใครจะเป็นห่วงเจ้ากันล่ะ? ตัวเจ้าเองแท้ๆ เจ้ายังไม่ห่วงตัวเองเลย จะมีใครที่ไหนมาเป็นห่วงเจ้าอีกล่ะ?” องค์หญิงใหญ่โกรธเรื่องที่ชิงสุ่ยเขียนจดหมายท้าประลอง
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก แม่นางซู่ เจ้าควรจะคอยให้กำลังใจข้าเสียมากกว่าไม่ใช่เจ้ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักสิทธิ์นั่น แม้ว่าเขาจะคอยตามเอาใจเจ้าอยู่ก็เถอะ เจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนี้” ชิงสุ่ยยิ้มออกในขณะที่มองไปยังองค์หญิงใหญ่
“เจ้านี่ไม่เคยจริงจังเลยใช่ไหม ในสถานการณ์เช่นนี้ยังจะมีอารมณ์มาตลกอีก ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าส่งจดหมายนั่นออกไป” องค์หญิงใหญ่ตอบออกไปหลังจากใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่
ลึกๆแล้วชิงสุ่ยรู้สึกอบอุ่น เขามีความรู้สึกว่าเขาใกล้ชิดกับหญิงสาวคนนี้มากจริงๆ ความกังวลของคนเรานั้นจะถูกแสดงออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าปัญหาจะใหญ่หรือเล็กเพียงใดนั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือปฏิสัมพันธ์ของหัวใจทั้งสองที่รับรู้เรื่องราวต่อกันได้มากกว่า
“แม่นางซู่ ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นห่วงข้า ทุกๆอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ข้าก็ยังไม่อยากตายเช่นกัน ข้ายังมีครอบครัว,ภรรยา และลูกๆที่รออยู่ ฉะนั้นแล้วไม่ต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย ข้าน่ะหนังเหนียวมากนะ คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจพรากมันไปได้ง่ายนักหรอก” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาอาจจะแสดงออกอย่างผ่อนคลาย แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งเขาก็ได้เผยให้คนอื่นรับรู้เช่นกันว่าเขาจริงจังมากๆ
“ฟังข้าให้ดี ในตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” องค์หญิงใหญ่พูดอย่างจริงจังพร้อมมองไปยังชิงสุ่ย
“ซูหนี่ เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่เอาชีวิตของเขาหรอก” ณ เวลานี้ มีเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา
ชิงสุ่ยและองค์หญิงใหญ่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ชิงสุ่ยหันมองไปรอบๆก็พบกับชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศซึ่งห่างออกไปไกลพอสมควร ในเวลานี้เขากำลังจ้องมองมาที่ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มพร้อมกับปล่อยความรู้สึกที่แปลกประหลาดออกมา
ชิงสุ่ยพยายามหลิ่วตามองชายที่อยู่ห่างไกลออกไป เขาไม่สามารถบอกอายุของชายผู้นั้นได้จากภายนอก ชายผู้ยืนอยู่กลางอากาศดู่สง่างามราวกับว่าเป็นอมตะ อีกทั้งยังมีดวงตาที่มองดูอบอุ่นแต่คงจะเป็นความอบอุ่นที่ไม่มีใครกล้ามองนัก ดูเหมือนว่าจะมีความแตกต่างระหว่างชายผู้นั้นและชิงสุ่ยอยู่ ระหว่างคิ้วของชิงสุ่ยเองนั้นมีเครื่องหมายสีม่วงประทับเอาไว้ ความอ่อนโยนและความสงบดูเหมือนจะถูกบรรจุอยู่ในนั้น เมื่อนำทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันแล้ว ความอ่อนโยนของชิงสุ่ยชวนให้น่าหลงไหลเสียมากกว่า แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนมองเขางดงามราวกับหญิงสาว ในทางตรงกันข้ามผู้คนจะรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์แบบแปลกๆเสียมากกว่า
ชายผู้นี้มีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่สิ่งที่โดดเด่ดยิ่งกว่านั้นคือภาพลักษณ์ภายนอกของเขา ใครก็ตามที่ได้เห็นจะมีความรู้สึกว่าชายผู้นี้ต้องเป็นคนที่เทียงธรรมเป็นแน่ อีกทั้งยังดูเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ทุกเพศทุกวัย
ไม่ใช่เรื่องของโชคลางอะไรทั้งนั้นที่ชายผู้นี้ได้รับตำแหน่งผู้นำของเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เขามีกิริยาท่าทางที่เหมาะสมกับมัน ชิงสุ่ยแทบจะบอกได้ทันทีเลยว่าบุคคลที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขาคือรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมารอบๆนั่นอีก
“เอาชีวิตของข้างั้นหรือ? เจ้าแข็งแกร่งพอที่จะทำเรื่องนี้ได้สินะ? รับนี่ไว้สิ!” ชิงสุ่ยสะบัดมือเพื่อโยนจดหมายท้าประลองนั่นไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์
แผ่นหนังสัตว์อสูรพุ่งไปยังชายผู้นั้นราวกับว่ามันเป็นมีดคม ชิงสุ่ยได้ใช้คล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับเพื่อโยนมันออกไป
ชายผู้นั้นยิ้มออก เขาแบมือออกและรับจดหมายท้าประลองจากชิงสุ่ยได้อย่างง่ายดาย
ชิงสุ่ยไม่ชอบท่าทีหยิ่งยโสของเขา จะกล่าวว่าหยิ่งยโสก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว จากมุมมองของชิงสุ่ย นี่เป็นความประทับใจแรกที่ชายผู้นั้นปล่อยออกให้ผู้อื่นได้รับรู้ ความจริงแล้วมันคือกลิ่นอายของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงเป็นระยะเวลานานเกินไป
“ชิงสุ่ย!” องค์หญิงใหญ่ดึงแขนเสื้อของชิงสุ่ยไว้ นางกังวลว่าชิงสุ่ยจะผลีผลามทำอะไรออกไป
เมื่อรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เห็นองค์หญิงใหญ่มีความใกล้ชิดกับชายผู้อื่น แม้จะเป็นเพียงการดึงแขนเสื้อก็ตาม ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“ซูหนี่ เจ้าไม่ต้องรั้งเขาเอาไว้หรอก ยังไงเสียจดหมายท้าประลองก็อยู่ในมือข้าแล้ว” ชายผู้นั้นกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา
ชิงสุ่ยหัวเราะพร้อมเดินกลับไปคว้ามือขององค์หญิงใหญ่เอาไว้ ก่อนหน้านี้เขาได้สังเกตุเห็นแววตาที่ไม่เป็นสุขจากชายผู้นั้น มันเป็นท่าทีที่ต้องการหลบซ่อนความรู้สึกเอาไว้ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยสามารถรับรู้ได้ เป็นเพราะเขาเคยได้ยินข่าวมาว่าชายผู้นี้มีใจให้องค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชิงสุ่ยจะมีความอาจหาญถึงเพียงนี้ นางจ้องเขม็งไปยังชิงสุ่ย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่มีท่าทีที่จะดึงมือออกมาจากชิงสุ่ยเลย แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ นางรู้ดีว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม แต่ก็ไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้แล้วที่จะทำให้ชายผู้นี้ยอมแพ้ต่อนาง
ตั้งแต่ที่มือของนางถูกคว้าไว้โดยชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายผู้นั้นคงไม่ยอมรามือจนกว่าชิงสุ่ยจะตายเป็นแน่ เขาเป็นคนที่ยึดถือในความสมบูรณ์แบบ ผู้ที่มีนิสัยเช่นนี้ย่อมไม่ยอมให้เกิดความด่างพล้อยเกิดขึ้นในสิ่งที่เขาปราถนาอย่างแน่นอน
องค์หญิงใหญ่รู้สึกว่านางจะต้องเหน็ดเหนื่อยมากมายแน่ๆถ้าหากว่าต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายประเภทนี้ คงไม่มีใครที่ไหนอยากเป็นผู้หญิงของเขาหรอก คงเป็นเพราะความรู้สึกที่ได้รับเหมือนกับกำลังรับภาระอะไรสักอย่างไว้ แน่นอนว่าไม่ใช่ความสุข นี่คงเป็นเหตุผลที่รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไร้คู่ครองจนถึงทุกวันนี้
แต่ถึงอย่างนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ทำให้เขามาตกหลุมรักเสียจนได้ จากจุดนี้คงกล่าวได้ว่านางเป็นคนที่เลอเลิศเพียงใด
“ข้ายังคงรักษาคำพูดที่กล่าวว่าข้าจะไม่เอาชีวิตเจ้าเช่นเดิม ถ้าเจ้ายอมตัดแขนของเจ้าออกเสียตอนนี้ ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้าก็ได้” ชายผู้นั้นมีท่าทีสงบแต่ในใจกลับโกรธแค้นมากกว่าใครๆ
“แม่นางซู แม้ว่าชายผู้นั้นจะทรงพลังอย่างมาก แต่เขาไม่คุณสมบัติของสามีที่ดีเลย เจ้าเห็นว่าอย่างไรถ้าจะยกหน้าที่แต่งงานมาไว้ที่ข้าแทน” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้กังวลต่อชายผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
จริงๆแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกว่าชายผู้ที่ครอบครองตำแหน่งสำคัญเช่นนั้นจะต้องมีความโดดเด่นมากมายเป็นแน่ แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเป็นชายที่ใจแคบเช่นนี้ ถึงแม้ว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะทรงพลังมากก็ตาม ชิงสุ่ยกลับไม่มีความรู้สึกดีต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
อาจเป็นเพราะชิงสุ่ยไม่รู้มาก่อนว่าองค์หญิงใหญ่เป็นสิ่งที่รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มิอาจแตะต้องได้แม้ว่าเขาจะพยายามเอาใจนางมากแค่ไหนแล้วก็ตาม สาเหตุที่เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ นั่นเป็นเพราะการที่ชิงสุ่ยได้อยู่ใกล้ชิดองค์หญิงใหญ่มากเกินไป
ไม่ใช่เพราะเรื่องความใจแคบของเขา แต่เป็นเพราะเขารู้ดีกว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้สนิทกับชายผู้นี้มากมาย มีคำกล่าวไว้ว่าถ้าเอาตัวเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองมีแต่จะทำให้เรื่องมันเลวร้ายยิ่งขึ้น ช่วงชีวิตของบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความปราดเปรื่องมักจะเจอปัญหาเช่นนี้เข้ามาก่อก่วน และไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ใจของเขาคิดว่าองค์หญิงใหญ่จะถูกพิชิตได้อย่างง่ายดาย
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ข้าต้องพูด เกี่ยวกับเงื่อนไขในการถอนพิษออกจากตัวน้องชายของข้า”นี่เป็นสาเหตุหลักที่ข้ามาในวันนี้
“และข้าได้กล่าวไปแล้ว ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิต ตัดแขนทั้งสองข้างของเจ้าทิ้งซะ ถ้าเจ้ายังเสียดายแขนของเจ้าอยู่ เจ้าจะได้สูญเสียทั้งชีวิตไปแทน นักรบที่รักษาคำมั่นเอาไว้ไม่ได้ ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถปกปิดทั้งท้องฟ้าไว้ด้วยตัวเจ้าเองได้” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอันโหดเหี้ยมและไร้ความปราณี เขาไม่ได้ต้องการที่จะแสดงท่าที่โอ้อวดผ่านคำพูดเหล่านั้น เขาเพียงไม่คุ้นเคยกับการขมขู่แบบนี้ทัศนคติที่น่ารังเกียจของฟู่เหยียนติง คนจำพวกนี้สมควรได้รับการลงโทษ
“เยี่ยม เช่นนั้นแล้วเรามาพบกันที่ลานประลองแห่งชีวิตและความตาย ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดอยู่อีกสองวัน” ชายคนนั้นจากไปหลังสิ้นคำพูดของเขา
ชิงสุ่ยส่ายศีรษะ “ผู้หญิงช่างอันตราย”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” องค์หญิงใหญ่พูดด้วยความโกรธ
“อ๋อ ข้าเพียงกล่าวว่า ความงามขององค์หญิงใหญ่มีมากจนสามารถทำลายเมืองได้เลย” ชิงสุ่ยรีบตอบอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยข้าไปได้แล้ว เจ้าทำให้เขาโกรธจนกระทั่งเขาจากไปเลยนะ เจ้านี่ต้องมีความสามารถด้านนี้เป็นพิเศษแน่ๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้เขาโกรธถึงเพียงนี้ได้” องค์หญิงใหญ่ยกมือของชิงสุ่ยขึ้นโดยปราศจากคำพูดใดๆ นางรู้ดีว่าที่ชายผู้นั้นจากไปเป็นเพราะตัวนางเอง แต่ในอีกมุมหนึ่งชิงสุ่ยกลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างมาก
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่ามือของนางจะถูกคว้าไว้โดยชายหนุ่ม ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่คิดว่าชิงสุ่ยจะกล้าถึงเพียงนี้ ในตอนนี้ความรู้สึกของนางช่างซับซ้อน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนางไม่ได้รู้สึกโกรธ นางปฏิบัติต่อเขาเช่นพี่น้องเท่านั้น แต่นี่ถือเป็นจุดได้เปรียบเล็กๆน้อยๆของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยรีบปล่อยมือของนางออก “แม่นางซูไม่ได้ผิดหรอกที่อยู่ตรงนี้ เป็นข้าเองที่ทำตัวหยาบคาย ข้าไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าเปรียบเหมือนเทพธิดาในใจของข้าเป็นคนที่ข้าไม่สามารถดูหมิ่นได้ ”
“เอาล่ะ พอได้แล้ว” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยความโกรธ นางปล่อยมือของนางออกและเคาะไปที่หน้าผากของชิงสุ่ย นางรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจเป็นอย่างมากเมื่อได้คุยกับเขา ในทางตรงกันข้ามน้ำเสียงของนางจะไร้ชีวิตชีวาเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้อื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ ชายพวกนั้นพยายามเสนอตัวเองมากเกินไป พวกเขาจีงไม่สามารถทำให้นางประทับใจได้เลยแม้แต่น้อย
“ยอดเยี่ยมจริงๆ เขาต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน ทำไมเจ้าต้องเอาตัวเองเข้าไปจุดที่ไม่มีทางหันกลับอยู่เรื่อย” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความงุนงง
“นั่นเป็นเพราะจุดที่ข้าไม่อาจหันกลับจะสามารถดึงความสามารถสูงสุดของข้าออกมาได้ แม่นางซูเจ้ามีแรงจูงใจอะไรให้ข้าได้บ้างไหมล่ะ? บางทีข้าอาจจะชนะเพราะมันก็ได้นะ” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวล
“ฮึ แรงจูงใจแบบไหนกันล่ะ? ข้าจะให้อะไรก็ได้ในสิ่งที่อยู่ในความสามารถของข้า” องค์หญิงใหญ่กล่าวพร้อมถอนหายใจออกมา
ชิงสุ่ยมองไปยังดวงตาทั้งสองของนาง นัยน์ตาของนางดูงดงามราวกับว่าไม่มีวันสลาย เขายิ้มออก “เป็นเวลานานมากแล้วที่ข้าไม่ได้กอดใครสักคน ในช่วงเวลานี้ข้าอยากถูกกอดเหลือเกิน ”
องค์หญิงใหญ่อึ้งเล็กน้อย นางเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาอันบริสุทธิ์ซึ่งไม่มีเจตนาร้ายใดๆ เป็นแววตาที่หาคำอธิบายได้ยาก ในช่วงเวลานั้นนางยอมใจอ่อน “ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า จะไม่มีครั้งต่อไปแล้วนะ”
หลังสิ้นคำพูดขององค์หญิงใหญ่ นางยกมือทั้งสองข้างออกพร้อมกับสวมกอดรอบคอของชิงสุ่ยไว้
ความจริงแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่กล่าวเช่นนั้นออกไป เขาไม่ได้ต้องการใช้เหตุการณ์นี้ฉกฉวยโอกาสมา เมื่อถึงจุดๆหนึ่งทุกคนล้วนมีความเหนื่อยล้าทั้งสิ้นและเมื่อถึงจุดนั้น พวกเขาย่อมมองหาคนที่คอยให้กำลังใจ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนที่เข้มแข็งเพียงใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น เมื่อกลับถึงบ้าน ไม่ว่าเขาจะเป็นใครที่ไหนมา เมื่อได้เห็นพ่อแม่รออยู่ก็จะรู้สึกผ่อนคลายทันที นี่เป็นเพราะพวกเขาจะเป็นเด็กสำหรับพ่อแม่เสมอ แม้จะไม่มีพ่อแม่ ความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นได้กับครอบครัว ภรรยา และลูกๆได้เช่นกัน
องค์หญิงใหญ่คิดว่าการแสดงออกเหล่านี้ของชิงสุ่ยเป็นแค่เรื่องปกติเท่านั้น นางเข้าใจดีว่าชิงสุ่ยรู้สึกอย่างไร เหตุผลเพราะนางก็พบเจอกับความรู้สึกเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ความรู้สึกของนางต่อชิงสุ่ยในตอนนี้ไม่ใช่ความรู้สึกสงสาร…ไม่ใช่ความรู้สึกพวกนั้นแน่ๆ แม้แต่ตัวของนางเองในตอนนี้ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
ชิงสุ่ยสวมกอดนางไว้ เขากอดนางไว้อย่างแน่นเลยทีเดียว ใบหน้าของเขาถูกวางอยู่ที่ต้นคอขององค์หญิงใหญ่ ณ เวลานี้ ในหัวของเขาไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น มันเป็นเพียงกอดที่ธรรมดาๆ แต่ก็มีความเงียบสงบที่ไม่อาจอธิบายได้
แม้ว่าจะมีอ้อมแขนที่อ่อนนุ่มสวมกอดเขาอยู่ แต่เขาก็ยังรักษาให้จิตใจสะอาดไว้ได้ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะสามารถควบคุมความรู้สึกพวกนี้เอาไว้ นี่เป็นเรื่่องยากซะทีเดียว เพราะมันอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตของเขา
ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะรู้สึกเช่นเดียวกัน นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก การกอดอย่างเงียบงันทำให้พวกเขาลืมเรื่องเวลาออกไปทั้งหมด ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว องค์หญิงใหญ่ค่อยๆลืมตาออกและต้องตกใจเล็กน้อย เมื่อพบว่าเหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ดยืนอยู่ออกไปไกลๆ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? มีคนเข้ามาใกล้ขนาดนี้และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้สึกตัว