Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1256
บทที่ 1256 – ใครกันที่ช่างน่าสมเพช
ตระกูลฮูถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างมากในภูมิภาคแห่งนี้และยังเป็นตระกูลที่ทรงพลัง ในความจริงแล้ว ฮู ยี่หย่าสามารถเดินทางไปยังสำนักสวรรค์เร้นลับพร้อมกับเหล่าตระกูลราชวงศ์เพื่อแสดงให้เห็นในการแข่งขันว่าตระกูลฮูนั้นมีพลังมากเพียงใด
ตระกูลราชวงศ์ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวของพวกเขาเอง แท้จริงแล้วสายเลือดของพวกเขานั้นอาจมีเพียงแค่ 1 ใน 3 แต่คนเหล่านั้นคือขุมพลังที่ทรงประสิทธิภาพอย่างแท้จริง คนกลุ่มนี้คือพลังอำนาจ คือสายเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายสายเลือดที่มอบมรดกแห่งพลังอันทรงเกียรติ
ตระกูลฮูอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็นตระกูลที่ยอดเยี่ยมที่สุดแต่พวกเขาก็เกือบจะก้าวขึ้นถึงจุดนั้น จำนวนตระกูลที่สามารถปราบปรามตระกูลฮูได้ สามารถนับได้เพียงแค่นิ้วมือทั้งสองมือ
ชิงสุ่ยรู้จักกับคนเหล่านี้เพราะว่าเขาได้รับการแนะนำในก่อนหน้านี้ พวกเขาคือตระกูลศักดินาที่เป็นผู้ครอบครองพื้นที่บริเวณเหล่านี้ ตระกูลขุนนางอาจจะมีจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองจักรพรรดิ แต่ทุกตระกูลล้วนจับมือเป็นพันธมิตรกันเปรียบดังเชือกที่ถักร้อย มิฉะนั้นพวกเขาก็จะถูกกำจัดออกไป
แม้ว่าเหล่าตระกูลชนชั้นขุนนางเหล่านี้จะให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันแต่ก็ยังแข่งขันกันเอง
ในหมู่กลุ่มของฮูยี่หย่า ตระกูลฮูและตระกูลเป่ยผู้คุมพลังที่มีอำนาจมากที่สุด ในหมู่ตระกูลเป่ยนั้นจะมีชายหนุ่มคนนึงที่ชื่อว่า เป่ย เก้อลี่ เขาคือคนที่สานสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มตระกูลเป่ยและตระกูลฮูรวมถึงตระกูลอื่นๆอีกด้วย
เป่ย เก้อลี่ และฮูยี่หย่า มีอายุประมาณรุ่นราวคราวเดียวกัน อายุจะต่างกันเพียงแค่ไม่กี่เดือน ดังนั้นเขาจึงเรียกฮูยี่หย่าว่าพี่สาว แต่อย่างไรก็ตามพลังในการบ่มเพาะของเขานั้นอยู่สูงกว่าฮูยี่หย่าอยู่เล็กน้อย
เขาไม่ได้มาจากตระกูลสาขาหลัก และยังเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดารุ่นราวคราวเดียวกับคนของเขา แม้ว่าเขาจะมีความสามารถ แต่เขาก็ยังเด็กเกินไปที่จะดึงดูดอิทธิพลต่อความปรารถนาของตระกูลในตอนนี้
แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรพวกเขา เพราะพวกเขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลไว้จำนวนมาก
“พี่ใหญ่ชิง การบ่มเพาะของท่านอยู่ในระดับใดกัน? ทำไมพี่หย่าจึงไม่สามารถหยุดยั้งท่านได้” เป่ย เก้อลี่ จ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขลาด แต่ชิงสุ่ยสามารถรับรู้ได้ว่าไม่มีใครคิดจะทำร้ายเขา
“ทำไมหรือ? หรือว่าเจ้าต้องการที่จะสู้กับข้า?”ชิงสุ่ยถามกลับด้วยรอยยิ้ม
ชิงสุ่ยเองอายุก็ไม่ได้มากกว่าเขามากนัก แต่ด้วยความสูงของระดับพลัง แม้แต่ฮูยี่หย่าเองก็คิดว่าชิงสุ่ยคงไม่ใช่ชายหนุ่มแต่ก็ไม่ใช่คนแก่ ในบรรดาตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ชายหนุ่มรุ่นเยาว์บางคนก็เพิ่งได้แต่งงานเมื่ออายุ 200 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแต่ยังคงบริสุทธิ์
ตระกูลราชวงศ์และชนชั้นขุนนางอาจจะได้รับการแต่งงานเร็วกว่านั้น พวกเขาอาจจะเริ่มต้นมันเมื่อตอนอายุ 20 หรือ 16 ปี มันเป็นการจับถุงชนซึ่งจะเป็นตัวช่วยส่งเสริมสถานภาพทางสังคม โดยที่การหย่าร้างนั้นแทบจะเกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้เว้นเสียแต่จะมีบุคคลที่ทรงอำนาจมากกว่าต้องการช่วงชิง
หลังจากนั้นเราลูกหลานของตระกูลราชวงศ์ที่ได้รับการแต่งงานไปแล้ว พวกเขาจะยังคงไม่ได้ให้กำเนิดบุตรในเร็ววัน ส่วนใหญ่การแต่งงานจะถูกจัดขึ้นโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีอายุมากกว่า ซึ่งถือเป็นเรื่องยากในการตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร แต่บุตรพวกเขาให้กำเนิดจะมีระดับพรสวรรค์สูงกว่าคนทั่วไป เพราะนั่นคือพลังที่สืบทอดกันมาจากสายเลือดตระกูล
“ข้าอยากจะ ข้ามีบางอย่างจะขอร้อง พี่ชายชิงได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด”
“หยุดเดี๋ยวนี้ ชิงสุ่ยไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือของเรา ถ้าพวกเจ้ายังทำเช่นนี้อีก หลังจากนี้ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเราติดตามข้า”ฮูยี่หย่า กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมา
ชิงสุ่ยแทบไม่ต้องเดาเลย พวกเขาจะต้องสร้างความขัดแย้งกับคนจากตระกูลอื่นๆ และดูเหมือนว่าฮูยี่หย่าจะอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ
เป่ย เก้อลี่ส่ายหน้าอย่างไม่มีทางเลือก แต่ชิงสุ่ยก็เลือกที่จะพยักหน้า
แม้ว่าจะไม่มีการพูดคุยอะไรกันแต่เป่ย เก้อลี่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข การพยักหน้าถือเป็นตัวแทนแห่งคำพูด เขารับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์ที่เขามีต่อตัวชิงสุ่ยว่าชายคนนี้จะต้องมีพลังไม่ธรรมดาและมีพลังมากกว่าเขา
“หยุดรบกวนเขาได้แล้ว!!!”
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินเสียงของฮูยี่หย่า เขาก็เข้าใจ คนเกือบ 20 คนก็เริ่มเดินตามฮูยี่หย่าออกไปอย่างรวดเร็ว
ฮูยี่หย่าหยุดเดินและหันไปมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่อับอาย ” พวกเรากำลังเดินทางไปเพื่อต่อสู้ในวันนี้ และดูเหมือนว่าเราจะเจอกันโดยบังเอิญ ชิงสุ่ยได้โปรดจากไปก่อนเถิด ขอเวลาข้าอีกสักหน่อยแล้วข้าจะออกไปหาเจ้า”
ชิงสุ่ยมองดูสายตาที่แสนจริงจังของฮูยี่หย่า
” ด้วยสายสัมพันธ์ที่เจ้ามีต่อพี่ใหญ่ เจ้าคิดว่าข้าจะจากไปง่ายๆงั้นหรือ? เจ้าพอจะอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
“เห้อออ เด็กผู้เป็นผู้นำของพวกมันคือ เฉินฟู่ติง แห่งตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินและตระกูลของข้านั้นอยู่ในระดับเดียวกัน เฉินฟู่ติงหลงรักข้าดังนั้นเขาจึงให้ตระกูลของเขามาสู่ขอการแต่งงานต่อข้า ท่านก็รู้ว่าข้านั้นย่อมต้องไม่เห็นด้วย นอกจากนี้คนในตระกูลของข้าก็เห็นด้วยกับความคิดของข้าจึงได้ทำการปฏิเสธพวกเขาไปอย่างสุภาพ แต่ผลของการกระทำนั้นก็ย่อมต้องเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำพูดการปฏิเสธก็เหมือนเปรียบดั่งการตบหน้าตระกูลเฉิน มันจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเราร้าวฉาน เฉินฟู่ติงยังคงกล่าวโทษข้าที่ทำให้ตระกูลของเขาต้องอับอาย ดังนั้นพวกเราจึงต้องสู้กันทุกครั้งที่ได้พบเจอกัน
ในขณะที่ฮูยี่หย่ากล่าวจบ กลุ่มของอีกฝ่ายก็ปรากฏตัวขึ้นห่างจากพวกเขาไม่เกิน 5 เมตร ชิงสุ่ยหันไปมองดูชายที่มีลักษณะดูดี ผิวพรรณของเขาใสสะอาดจมูกตรงมีดวงตาที่แสนสดใสแต่ภายใต้ดวงตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและชั่วร้ายที่แฝงอยู่
“ฮูยี่หย่า ข้าบอกเจ้าแล้วว่าถ้าจะกระทืบคนของเจ้าทุกครั้งที่เจอหน้าเจ้า การที่ปฏิเสธชายที่โดดเด่นที่สุดเช่นข้าคือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้า”เฉินฟู่ติงกล่าวด้วยความหยิ่งผยอง
แม้ว่าเฉินฟู่ติงจะพูดอย่างจริงจัง แต่ชิงสุ่ยก็ไม่อาจระงับเสียงหัวเราะของเขาได้จนทำให้เขาต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“พี่ชายชิง ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกงั้นหรือ?”เป่ย เก้อลี่ถามชิงสุ่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“มันไม่ได้เป็นเรื่องตลกเลย แต่มันกลับดูหน้าขันเมื่อออกมาจากปากของคนที่ดูโง่เง่า”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง
ข้อความที่ชิงสุ่ยได้กล่าวออกมาได้สร้างความเสียหายอย่างมาก เฉินฟู่ติงถึงกับหน้าเสียและหันมาจ้องมองชิงสุ่ยก่อนที่เขาจะเสแสร้งรอยยิ้มจอมปลอมออกมา “ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นใครกัน? ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบจากที่นี่ไปซะ”
ชิงสุ่ยไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะพูดจากลับมาอย่างรอบคอบ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยความโกรธแต่เขาก็สามารถระงับความโกรธของตัวเองได้ มันอาจเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายเข้าใจดีว่าการที่จะต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่รู้จักอาจจะต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงส่ง
“เจ้าไม่ต้องห่วงเลยว่าข้าเป็นใคร เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าคนที่โง่เง่าอย่างเจ้าจะสามารถพูดอะไรที่กล้าหาญเช่นนี้กับหญิงสาวคนหนึ่ง? เจ้าคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นคือเรื่องที่น่ารื่นรมย์มากอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยไม่อาจทนดูคนที่ดูไร้ความปราณีและลงตัวเองอย่างเขา การที่เขาดูพวกมันวิตกกังวลคือเรื่องที่น่ารื่นรมย์ที่สุด
“นี่คือเรื่องระหว่างตระกูลฮูและตระกูลเฉิน ถ้าหากเจ้าหยุดก้าวก่าย ข้าก็จะถือว่าเจ้าไม่ต้องรับผิดชอบที่บังอาจทำให้ข้ารู้สึกอับอาย แต่ถ้าหากไม่แล้วมิฉะนั้น เจ้าจะต้องเสียใจเป็นร้อยเท่าพันเท่า”เฉินฟู่ติงกล่าวเตือน
ทันทีที่เขาเห็นปฏิกิริยาของชิงสุ่ย รีบพยายามตรวจสอบพื้นเพเบื้องหลังในทันที
” คงไม่มีใครสามารถสร้างความอัปยศอดสูให้กับตระกูลเฉินได้มากกว่าเจ้าแล้ว สำหรับผู้ชายเยี่ยงเจ้าที่พยายามสร้างปัญหาให้กับหญิงสาวตัวคนเดียวในทุกๆวัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นว่าตัวเจ้านั้นกำลังดันทุรัง เจ้าคงไม่อาจเข้าใจได้ว่าคนอื่นๆกำลังมองเป้าอย่างน่าสมเพช เจ้านี่มันน่าสงสารจริงๆ”
“หุบปาก เจ้านั่นแหละที่น่าสมเพช ข้าเป็นถึงนายน้อยตระกูลเฉิน ยังมีใครกันที่กล้ากล่าวหาว่าข้าน่าสมเพช?”เฉินฟู่ติงตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้าง
“คนที่น่าสงสารอย่างแท้จริงคือคนที่ไม่ทราบว่าเขากำลังได้รับความเมตตาจากผู้อื่น นั้นคือเรื่องที่น่าสมเพชที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ตระกูลเฉินเองก็มีบุตรมากมาย แต่ทำไมเจ้าถึงเป็นคนเดียวที่ทำอะไรไร้สาระแบบนี้ล่ะ?”
“นั่นเป็นเพราะว่านางง……”เฉินฟู่ติงไม่อาจกล่าวเรื่องที่เธอปฏิเสธการแต่งงานออกมาได้
“เจ้ากำลังจะบอกว่าที่ทำเช่นนี้เพราะว่านางไม่ยอมรับข้อเสนอการแต่งงานจากคนของตระกูลเจ้า สำหรับการกระทำที่เจ้าทำไม่เพียงแต่จะทำให้เจ้าดูโง่เง่าแต่มันยังทำให้คนอื่นยิ่งสมเพชเจ้ามากขึ้น ลองหันไปมองผู้อาวุโสของเจ้าสิ พวกเขาก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้เพราะพวกเขาย่อมรู้ดีว่าผู้อื่นจะมองเห็นว่าการกระทำเหล่านี้คือความน่าสมเพช ทำไมไม่มีใครจากตระกูลฮูยื่นมือออกมาช่วยหญิงสาวตัวน้อยๆคนนี้จากตระกูลปัญญาอ่อนที่จะทำการกลั่นแกล้งโง่เง่าเช่นนี้? นั่นก็เป็นเพราะว่าตระกูลฮูคลิปเพลงแค่ว่าเจ้านั้นน่าสงสาร มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ชายที่น่าสงสารอาจเกิดจากการโดนดูถูกหมิ่นประมาท แต่บางครั้งคนที่น่าสงสารก็เกิดขึ้นมาจากความน่าสมเพชเช่นกัน…….”
“ข้าน่าสงสารงั้นหรือ?”
“ข้าน่าสงสารงั้นหรือ?”
…………………….
เฉินฟู่ติง กล่าวถามคนที่อยู่รอบตัวของเขาทันที ชายที่หญิงสาวทุกคนฝันถึงไม่ว่าเขาจะไปที่ใด แต่เหตุใดถึงต้องมาติดกับดักอยู่ที่ตรงนี้ด้วย
เมื่อคนเหล่านั้นคิดอย่างถี่ถ้วน พวกเขาก็เพราะว่านี่มันคือเรื่องที่แสนน่าสงสารจริงๆ แต่เป้าหมายของพวกเขาก็ยังคงเป็นฮูยี่หย่า ดังนั้นพวกเขาจึงหันมองหน้ากันและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
ฮูยี่หย่าหันไปมองชิงสุ่ยด้วยความตกใจ “ข้าคิดว่าพลังของเจ้านั้นดีขึ้นกว่าเก่า ได้ดูเหมือนว่าปากของเจ้านั้นดียิ่งกว่าเสียอีก เจ้าสามารถผลักดันให้คนหนึ่งคิดฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าได้โดยอาศัยเพียงแค่คำพูดช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
มันช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกจริงๆสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกตามรังควานด้วยคนบ้าคนเดียว และเมื่อเขาได้พบกับคนที่ไร้ยางอายอย่างเฉินฟู่ติง เพียงแค่ประโยคแรกที่ได้กล่าวออกมาก็เห็นแล้วว่าเขานั้นไร้ยางอายและหลงตัวเองอยู่ในระดับที่สูงเสียดฟ้า
“นายน้อยเฉิน ในเมื่อเขาบอกว่าท่านน่าสงสารและน่าสมเพช เหตุใดพวกเราถึงไม่เอาชนะเขาและทำให้เขารู้ว่าใครกันแน่ที่มันน่าสมเพช?”ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ที่อยู่ด้านหลังกล่าวอย่างฉับพลัน
“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการจะได้ยิน ในเมื่อข้าถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าข้านั้นเป็นคนที่น่าสมเพช ในวันนี้ถ้าจะเอาชนะมันและแสดงให้เห็นว่าผู้ใดที่น่าสมเพช”เฉินฟู่ติงหัวเราะจนเห็นร่องฟัน
เขาไม่ได้สนใจว่าจะถูกด่าว่ากล่าวว่าเป็นคนที่ไร้ยางอายหรือหลงตัวเองหรืออะไรก็ตาม เขาเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกที่เหนือกว่าผู้อื่นดังนั้นเขาจึงไม่สนใจไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรถึงเขา แต่ชิงสุ่ยกลับทำลายความรู้สึกที่เขามีด้วยคำพูด มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเขากำลังยืนแก้ผ้าให้คนอื่นจ้องมอง มันเป็นคำพูดที่กัดกินและทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงความน่าสงสารในตัวเอง
อย่างไรก็ตามพวกเขายิ่งรับรู้ได้ถึงความน่าสมเพชทันทีที่เริ่มต้นการต่อสู้ ชิงสุ่ยใช้เพียงแค่พลังวิญญาณของเขาในการจำกัดความเร็วและการรับรู้ของศัตรู คนกว่า 10 คนของ ฮูยี่หย่าเดินตรงออกไปเพื่อรับมือก็ต้องพบกับว่าคนของเฉินฟู่ติงไม่อาจปัดป้องการโจมตีใดๆได้เลย สุดท้ายใบหน้าของแต่ละคนบวมเป่งและเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือด
ตลอดเวลา คนของฮูยี่หย่าจะเป็นฝ่ายที่ได้รับความพ่ายแพ้ แต่คราวนี้พวกเขาตระหนักแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นอ่อนแออย่างยิ่งและด้อยกว่าที่เคยเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงปลดปล่อยความโกรธที่ถูกระงับเอาไว้เป็นเวลายาวนาน ครั้งนี้มันทำให้เฉินฟู่ติงและคนที่เหลือต้องกล่าวคำอ้อนวอนขอความเมตตา
ชิงสุ่ยไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ เขาเพียงแค่ยืนมองดูฝ่ายศัตรูกำลังโดนโจมตีจากคนของฮูยี่หย่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดสูญเสียชีวิตแต่วัตถุประสงค์หลักคือการสร้างความเสื่อมเสียให้กับอีกฝ่าย ดังนั้นส่วนใหญ่จึงมุ่งเป้าไปที่ใบหน้าของศัตรู มันคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ทำให้พวกมันต้องอยู่กับใบหน้าที่บวมเป่งและจมูกที่เปรอะเปื้อนเลือดคล้ายกับหัวหมู