Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1306
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 1306 – ตะเกียงร้อยวิญญาณระดับที่หก มุ่งหน้าสู่นิกายรูปแบบอมตะ ความตกใจของผู้อาวุโสเฮยและผู้อาวุโสไป๋
ยาเม็ดชีพหวนคืน ชิงสุ่ยจำได้ว่าเขามีพวกมัน 10 เม็ด แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นแบบเดียวกันไหม นอกจากนั้นเขายังไม่รู้เลยว่ามันมีผลของการเกิดใหม่หรือไม่ ทันทีที่เขาคิดถึงจำนวนค่าประสบการณ์อันมหาศาล เขาก็ปวดหัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันมีเพียงวิธีเดียวคือการที่เขาต้องรวบรวมค่าประสบการณ์อย่างช้าๆ
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมา 2-3 วันแล้ว ชิงสุ่ยก็เอนกายลงพักผ่อนทันที เขาปรับแต่งอาวุธทันทีเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่ว่าในกรณีใดเขาไม่สามารถหาส่วนผสมของน้ำหอมมรกตทองคำได้
มันอาจเป็นไปได้ว่าสิ่งดีๆมักมาคู่กันเสมอ ระดับตะเกียงร้อยวิญญาณเริ่มที่จะกระเตื้องขึ้น
เช่นนี้ชิงสุ่ยจึงตื่นเต้นมาก แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาจะมีมากกว่าพลังของสัตว์อสูร แต่พลังปกติของเขาก็ยังต่ำกว่า 8,000 สุริยา แม้ว่าเขาจะใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะมีพลังเพียง 30,000 สุริยาเท่านั้น ในความเป็นจริงมีข้อกำจัดบางประการอยู่ เขาต้องใช้เวลาในการเตรียมพร้อมตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญ เวลาเพียงน้อยนิดก็มีส่วนสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะ โชคดีที่เขามีทักษะย่างก้าว 9 เทวาและสิ่งอื่นๆ มันง่ายสำหรับเขาที่จะโดนขัดขวางในจังหวะที่ปลดปล่อยตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์
ตะเกียงร้อยวิญญาณได้มาถึงระดับที่หกแล้ว หัวใจของชิงสุ่ยสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามสัมผัสถึงพลังของวิหคเพลิงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เขาเรียกมันและเริ่มสื่อสารกัน ในท้ายที่สุดเขาเผยรอยยิ้มแห่งความสุข ตามที่เขาคิด ความแข็งแกร่งของวิหคเพลิงเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า มันอาจส่งผลต่อสัตว์อสูรที่โจมตีด้วยพลังวิญญาณเท่านั้น
พลังโจมตีของวิหคเพลิงเพิ่มขึ้นถึง 8,000 สุริยาทันที นี่เป็นสิ่งที่น่าเกรงขาม ก้าวต่อไปชิงสุ่ยเล็งไปที่การเพิ่มระดับให้กับกลองสะบั้นสวรรค์ ด้วยการทำเช่นนี้ พลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำก็จะเพิ่มขึ้น
ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าการได้รับสิ่งดีๆพร้อมกันถึงสองอย่าง
เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ มันก็เป็นเวลาช่วงบ่ายแล้ว เหล่าหญิงสาวคุ้นเคยกับนิสัยของชิงสุ่ย ปกติพวกเธอจะไม่ไปเรียกเขา พวกเธอจะรอให้เขาเป็นคนออกมาเอง
เมื่อชิงสุ่ยออกมาจากห้องนอน เขาก็ต้องตะลึง เพราะเขาได้เห็นองค์หญิงใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้องนั่งเล่น เมื่อเธอเห็น ชิงสุ่ยออกมาจากห้อง เธอก็ยืน “เจ้าหิวหรือไม่? ข้าจะได้ไปอุ่นอาหารแล้วนำมาให้เจ้า!
เมื่อเห็นว่าองค์หญิงใหญ่เปลี่ยนไป ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจมาก นั่นเป็นความพึงพอใจที่เขารู้สึกในฐานะผู้ชาย ครั้งแรกที่เขาเห็นเธอคือท่ามกลางฝูงชน เธอเจิดจรัสเหมือนดวงจันทร์ยามราตรี แม้ว่าเธอจะดูหัวโบราณทั้งการแต่งกายและสวมหมวกไม้ไผ่ แต่เธอก็ยังสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนรอบตัวได้เสมอ
แต่ตอนนี้เธอได้กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ความรู้สึกระหว่างชายและหญิงเป็นสิ่งที่สวยงาม มันไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้
“ข้ายังไม่หิว ข้าไม่ได้อ่อนแรง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าจำเป็นต้องพักให้มากเพื่อฟื้นฟูร่างกาย” ชิงสุ่ยยิ้มและนั่งลงพร้อมกับเอามือโอบไปที่รอบเอวของเธอ
ขณะที่ชิงสุ่ยพูดถึงเรื่องร่างกายของเธอ องค์หญิงใหญ่ก็เกิดอาการเขินอาย ความงดงามและมีเสน่ห์ปรากฏบนใบหน้าของเธออย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้
……
ชิงสุ่ยได้รับการเตือนจากชุ่ยเฟิงผู้ที่เป็นหนึ่งในคนจากนิกายรูปแบบอมตะ เขารู้สึกว่าพวกเขารู้เรื่องนิกายพุทธองค์ทองคำและตระกูลเป่ยถังไม่มากก็น้อย เขาคิดถึงเรื่องนี้และออกเดินทางหลังจากพักอยู่ประมาณวันหรือสองวัน
ชิงสุ่ยมุ่งตรงไปทางแท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาล ในอดีตเขาไม่สามารถไปตอแยกับนิกายอื่นเช่นนิกายรูปแบบอมตะได้ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่ในสายตาของเขาแล้ว
ภายในเวลาอันรวดเร็ซเขาก็มาถึงจักรวรรดิอวี้เพียง 2-3 วัน ชิงสุ่ยมุ่งไปที่นิกายรูปแบบอมตะทันที ก่อนหน้านี้เขารู้แค่ตำแหน่งที่ตั้งคร่าวๆของมัน แต่ตอนนี้องค์หญิงใหญ่ได้บอกตำแหน่งที่แม่นยำให้กับเขา
ชิงสุ่ยไปตามตำแหน่งและค้นพบนิกายรูปแบบอมตะได้อย่างรวดเร็ว เขาอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยภูเขา พวกมันดูเป็นธรรมชาติ ชิงสุ่ยแอบดูและพบกับความประหลาดใจ
ประตูบานใหญ่ของนิกายรูปแบบอมตะดูยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ ประตูถูกปรับแต่งมาจากยอดเขาสูง ส่วนตรงกลางของมันถูกเจาะออกและสร้างเป็นประตู ด้านบนของมันมีคำว่านิกายรูปแบบอมตะเขียนเอาไว้ ในขณะที่ด้างล่างมีบันไดวนที่ทำจากหิน
บริเวณภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอก มันค่อนข้างที่จะพร่ามัว ตรงทางเข้ามียามอยู่ประมาณ 10 คนหรือมากกว่า พวกเขาทั้งหมดแต่งกายด้วยเครื่องแบบของนิกายรูปแบบอมตะ พวกเขาดูหมดกำลังใจและเหนื่อยล้า แต่เมื่อพวกเขาเห็นชิงสุ่ยปรากฏตัว พวกเขาทุกคนก็เข้มแข็งขึ้น
“เจ้าเป็นใคร? มีธุรกิจอะไรกับนิกายรูปแบบอมตะของพวกเรา?”
ชายวัยกลางคนมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยท่าทางที่ดูถูกและถาม น้ำเสียงของเขาฟังดูเป็นคนชอบสั่งการ
ชายคนนี้มีชื่อว่า ‘หง กวง’ เขาเป็นหัวหน้าผู้รักษาการณ์ โดยปกติเขาจะจงใจทำสิ่งต่างๆให้ดูยุ่งยากเพื่อความสนุก เขามีสายตาที่แหลมคม เมื่อใดที่เขาพบคนปกติธรรมดา เขาจะทำตัวยุ่งยากและพยายามโชว์ตัวเอง ในขณะที่หากเขาพบคนที่คิดว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง เขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาวิธีใช้ประโยชน์จากพวกเขา
หงกวงสามารถบอกได้ว่าชิงสุ่ยไม่ใช่คนธรรมดา เพราะฉะนั้นเขารู้สึกว่าชิงสุ่ยจะได้ประโยชน์มากกว่าเขา เขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่ยืดหลังขึ้นตรงอีกเล็กน้อย
“ข้ามาที่นี่เพื่อพบใครบางคน” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
“พบใครบ้างคน? ใคร?”
“ชุ่ยเฟิง หรือผู้อาวุโสเฮย หรือผู้อาวุโสไป๋ก็ได้” ชิงสุ่ยมองไปที่หงกวงและยิ้ม
“พวกเขาไม่ยินดีพบคนภายนอก โปรดกลับไปซะ!” หงกวงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ยอมให้ข้าเข้าพบหรือ?” การแสดงออกของชิงสุ่ยยังคงเหมือนเดิม
“เจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดงั้นหรือ? พวกเขาไม่พบคนนอก”
ชิงสุยส่ายศีรษะและใช้ฝ่ามือผลักหงกวงออกไปก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัว ชิงสุ่ยรู้อยู่แล้วว่าพวกที่เฝ้าประตูนั้นเป็นแบบไหน หงกวงต้องเป็นญาติของผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งในนิกายรูปแบบอมตะ นี่เป็นเหตุผลที่เขากล้าหยาบคายกับผู้อื่น
“ช่างกล้านัก เจ้ากล้าจริงๆที่มาสร้างปัญหาในนิกายรูปแบบอมตะ! จับมัน! “
“ฆ่ามัน!”
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่รีบเข้าไปรายงานสถานการณ์ นี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการ
เมื่อมองไปที่กลุ่มคนซึ่งพุ่งเข้ามาหาเขา ชิงสุ่ยไม่ได้ตกใจอะไร เขารีบสกัดไว้ด้วยพลังวิญญาณ ภายในเวลาอันรวดเร็วสัตว์อสูรบินได้ขนาดใหญ่ 2-3 ตัวก็บินมาจากที่ไกลๆ ชิงสุ่ยเห็นอินทรีบินอยู่ท่ามกลางพวกมัน เขารู้สึกยินดี
สองผู้อาวุโสจากนิกายรูปแบบอมตะเดินทางมาถึงที่นี่ ชิงสุ่ยจำได้อย่างชัดเจนในตอนนั้นเมื่อผู้อาวุโสเฮยต้องการนำตัวเขาไปเป็นศิษย์ส่วนตัว มันเพิ่งจะผ่านไปเพียง 2 ปีนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้พบกันครั้งล่าสุด
ชิงสุ่ยไม่เห็นชุ่ยเฟิง สุดท้ายแล้วเขาจึงเห็นแค่ผู้อาวุโสเฮย ผู้อาวุโสไป๋ และชายชราอีกคน แม้หลังจากผ่านไป 2 ปีแล้วก็ตาม พวกเขายังคงอยู่ที่ระดับผู้พิทักษ์ธรรมระดับต้น อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาพัฒนาขึ้นเล็กน้อย
“นิกายรูปแบบอมตะยินดีต้อนรับ ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามีธุระอะไรถึงมาที่นี่หรือ?” ชายชราร่างผอมผู้มีใบหน้าอันบริสุทธิ์กล่าว
“ข้ามาที่นี่เพื่อพบชุ่ยเฟิง เขาเป็นพี่ชายของข้า” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
ความแข็งแกร่งของชายชราตั้งแต่สมัยก่อนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้ แต่พลังของเขาก็เพียงประมาณ 3,000 สุริยา อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งในนิกายรูปแบบอมตะ
“ชุ่ยเฟิง? โอ๊ะ ผู้อาวุโสลี่ไปถามชุ่ยเฟิงมาโดยเร็ว” ชายชราตกตะลึงและพูด ชายชราคนหนึ่งข้างๆเขารีบออกไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นเจ้านั้นเอง? มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
ทันใดนั้นผู้อาวุโสเฮยก็หันมามองชิงสุ่ยด้วยความกลัว เขาตกตะลึง เขาจำได้ว่าเป็นชิงสุ่ยหลังจากได้ยินว่ามาที่นี่เพื่อพบชุ่ยเฟิง
“ผู้อาวุโสเฮย ผู้อาวุโสไป๋ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง พวกท่านเป็นอย่างไร?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว ย้อนกลับไปชายชราทั้งสองถือว่าไม่ธรรมดา พวกเขาค่อนข้างหยิ่ง แน่นอนว่าสถานะชองพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามาถโต้แย้งได้ พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ธรรม ในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกผู้พิทักษ์ธรรมระดับต้นถือว่าน่ายกย่องมากในทวีป มีเพียงจักรวรรดิหรือนิกายเท่านั้นที่จะมีผู้คนเหล่านี้จำนวนมาก
“เป็นเจ้าจริงๆ……” แม้แต่ผู้อาวุโสไป๋ก็พบว่ามันยากมากที่จะเชื่อ
ณ ตอนนั้น ผู้อาวุโสเฮยต้องการตัวชิงสุ่ยไปเป็นศิษย์ของเขา เขาสัญญาว่าจะทำให้ชิงสุ่ยกลายเป็นผู้พิทักษ์ธรรมระดับต้นคนแรกในรอบ 100 ปี ตอนนี้เขาคิดถึงสิ่งที่เคยพูดไว้ เขารู้สึกเหมือนกำลังตบหน้าตัวเอง ใบหน้าของเขามืดมนในทันที
“ผู้อาวุโส พวกท่านรู้จักชายคนนี้ด้วยหรือ?” ชายชราคนหนึ่งถามอย่างรวดเร็ว มีร่องรอยของความเลื่อมใสปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
“เขามาจาก 5 มหาทวีปเมื่อ 2 ปีก่อน เขาใช้คือแท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาลซึ่งได้รับการคุ้มครองโดยนิกายรูปแบบอมตะ เมื่อตอนนั้นความแข็งแกร่งของเขามีเพียงประมาณ 200-300 เมฆาเท่านั้น” ผู้อาวุโสไป๋กล่าว
ชายชราคนอื่นๆตะลึงอยู่นานพอตัวหลังจากได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสไป๋ พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นการสูญเสียที่ไม่ได้ดึงตัวเขาเข้ามาในนิกายรูปแบบอมตะ
ตอนนี้ชุ่ยเฟิงปรากฏตัวขึ้นข้างๆผู้อาวุโสคนก่อนหน้าที่จากไป ชุ่ยเฟิงมองไปที่ชิงสุ่ยและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “น้องชิงสุ่ย!”
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ เขารีบทักทายเหล่าผู้อาวุโสและชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลาง ชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลางคือผู้นำนิกายรูปแบบอมตะ คนอื่นๆแสดงท่าทีผิดปกติเมื่อชุ่ยเฟิงทักทายพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้สึกเสียวสันหลังเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ท่านอยู่ที่นี่เอง” ชิงสุ่ยและชุ่ยเฟิงทั้งสองแตะไหล่ของกันและกัน นี่ทำให้คนอื่นๆรู้สึกแปลกใจจริงๆ ผู้ที่อ่อนแอซึ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขากลับได้เป็นพี่ใหญ่
ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็พบว่าชุ่ยเฟิงโชคดีมาก เพราะตอนนี้มันเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่ได้เป็นสหายกับชิงสุ่ย มันยากที่จะสร้างมิตรแท้ในตอนนี้ แน่นอนว่ามิตรภาพที่พวกเขามีต่อผู้อื่นในตอนนี้เป็นสิ่งที่มีอะไรแอบแฝง
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้างในนิกายรูปแบบอมตะ?” ชิงสุ่ยถามในขณะที่มองชุ่ยเฟิงซึ่งดูสง่างามเหมือนปกติ
“ข้าสบายดี!”
ไม่ว่าในกรณีใดชุ่ยเฟิงก็ยังคงถือว่าเป็นอัจฉริยะที่ดีภายในนิกายรูปแบบอมตะ แม้ว่ากลุ่มของเขาอาจเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดในนิกาย แต่ตัวเขาเองก็ยังคงเป็นบุคคลที่นิกายรูปแบบอมตะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นชายชราคนอื่นจึงมีแผนอยู่ในใจหลังจากที่ได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างชิงสุ่ยและชุ่ยเฟิง
“เอาเถอะ ทำไมเจ้าไม่เข้าไปข้างในนิกายรูปแบบอมตะหล่ะ พวกเราค่อยเข้าไปคุยกันต่อข้างในได้” หัวหน้ากลุ่มของการสร้างนิกายอมตะได้ยึดโอกาสและกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ใช่ น้องชิงสุ่ย พวกเราไปคุยกันข้างในเถอะ!”