Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1323
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 1323 – เวลา 3 วัน ผู้อาวุโสปู้หยาง ผู้ที่มีเส้นลมปราณสวรรค์
ท่าทีของชิงสุ่ยนั้นทำให้ผังเต๋อต้องตกตะลึง เขารู้ว่าผู้ที่รู้ว่าตนเองนั้นอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆมักจะหยิ่งผยองอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้เห็นสีหน้าของชิงสุ่ยเขาก็ยิ้มขึ้น การที่จะทำตัวหยิ่งผยองก็ต้องมีความสามารถมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ มิฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นคือความเลวร้าย
“โปรดทำตามคำขอของข้า ตระกูลผังของข้านั้นต้องการที่จะพบท่านจริงๆ พวกเราอยากที่จะร่วมมือกับท่านจริงๆ นี่ควรเป็นข่าวดีสำหรับท่าน เหตุใดท่านจึงไม่ไปตระกูลผังพร้อมกับข้ากัน? พวกเราจะพูดคุยกันถึงการร่วมมือกันและจะไม่มีการทำร้ายท่านอย่างแน่นอน” ผังเต๋อยิ้มและพูดอย่างมั่นใจ
ตระกูลผังนั้นถือเป็นตระกูลขุนนาง หากมีใครได้รับการติดต่อจากตระกูลผังคนๆนั้นจะถือว่าโชคดีอย่างยิ่ง มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้พบปะกับตระกูลผัง ดังนั้นผังเต๋อยิ่งคิดกับตนเองว่าชิงสุ่ยย่อมตกลงในข้อเสนอของเขา
ในสองฟากฝั่งของถนนเส้นนี้หากตระกูลผังต้องการที่จะร่วมงานกับผู้ใดคนๆนั้นก็ถือว่าโชคดียิ่งนัก มันถึงเป็นโชคชะตาที่ดีในชีวิตหากถูกตระกูลผังหมายตาไว้ น่าเสียดายที่ชิงสุ่ยไม่ใช่คนธรรมดาแบบนั้น
“ข้าต้องขอโทษด้วยแต่ข้าไม่ได้สนใจที่จะร่วมงานกับพวกท่าน” ชิงสุ่ยปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
ผังเต๋อนั้นได้คิดถึงเรื่องต่างๆมากมายแต่เขาไม่เคยคิดว่าชิงสุ่ยจะปฏิเสธคำขอของเขา ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เชิญชวนให้ชิงสุ่ยมาร่วมงานกับตระกูลผัง กลับกันเขาร้องขอให้ชิงสุ่ยมาร่วมงานกับเขาด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองอย่างนี้ก็มีความหมายเหมือนๆกัน
ชิงสุ่ยได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วถึง 2 ครั้ง เขาย่อมสามารถมองเห็นเจตนาที่แท้จริงของคำเชิญชวนเช่นนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธมันไปอย่างไม่ลังเลเลยด้วยซ้ำ ตระกูลผังอาจจะทรงพลัง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะส่งกองกำลังที่ทรงอิทธิพลที่สุดของพวกเขามาเพื่อร้องขอในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามปฏิเสธคนพวกนี้ต่อไปและพยายามเพิ่มพลังให้แก่ตนเองให้ได้มากที่สุด
พลัง มีเพียงพลังที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นใหญ่ได้
“ท่านปฏิเสธที่จะร่วมงานกับตระกูลผังงั้นหรือ?” ผังเต๋อยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่สายตาที่เขาใช้มองชิงสุ่ยนั้นดูเฉียบคมยิ่งขึ้น
ชิงสุ่ยยิ้ม เขามองไปยังผังเต๋อ “ข้าจะบอกท่านอย่างชัดเจน ข้าไม่ได้ปรารถนาที่จะร่วมงานกับผู้ใดเลย ท่านมีสิ่งอื่นที่อยากจะพูดคุยกับข้าอีกหรือไม่? ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก”
“ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำให้ห้องอาหารแห่งจักรพรรดินั้นหายไปได้?” ผังเต๋อยิ้มและถามขึ้น
“สิ่งต่างๆในห้องอาหารแห่งจักรพรรดิล้วนไม่ได้มีค่าอันใดมากนัก มันไม่ได้มีค่าอะไรมากนักหรอก แต่มันคงจะน่าผิดหวังจริงๆหากตระกูลผังได้กระทำอะไรเช่นนี้” เดิมทีชิงสุ่ยหนังกำลังจะหันหลังกลับไป แต่เขาก็หันหน้ากลับมาพร้อมกับยิ้มให้กับผังเต๋อ
เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้ผังเต๋อก็ตกตะลึง เขามั่นใจว่าเขาได้เห็นรอยยิ้มจากเด็กหนุ่มผู้หญิง ความมั่นใจนี้เองได้ทำให้เขารู้สึกหวั่นวิตก นั่นเป็นรอยยิ้มซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาได้วางแผนทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว มันเป็นรอยยิ้มซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้กลัวอะไรเลย
ในตอนที่ชิงสุ่ยกล่าวจบเขาก้เดินกลับเข้าไปยังห้องอาหารแห่งจักรพรรดิ
“มันจะเป็นการดีที่สุดหากท่านพิจารณาข้อดสนอของข้า ข้าจะให้เวลาท่าน 3 วัน โปรดมาพบข้าที่ตระกูลผังหากท่านได้เปลี่ยนใจแล้ว” ผังเต๋อจากไปทันทีเมื่อเขาได้กล่าวจบ
มีคนจำนวนมากที่อยู่โดยรอบบริเวณนี้ ในตอนนี้พวกเขากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นกับห้องอาหารแห่งจักรพรรดิอย่างแน่นอนในตอนนี้”
“เหตุใดเขาจึงปฏิเสธโอกาสดีๆเช่นนี้? ข้าอยากจะทำงานร่วมกับตระกูลผังมาโดยตลอด เพียงแต่พวกเขาไม่ให้โอกาสข้าเลย”
“จากที่ห้องอาหารแห่งจักรพรรดิได้พัฒนาขึ้นมาไม่กี่วันนี้ รวมไปถึงความจริงที่ว่ามีท่านหมอเทวดาได้ร่วมมือกับพวกเขาอยู่เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะปฏิเสธข้อเสนอเช่นนี้ แค่ว่าตระกูลผังตัดสินใจที่จะลงมือเคลื่อนไหวก่อน ข้าคิดว่าในเร็วๆนี้ตระกูลอื่นๆก็จะเริ่มจับตามองห้องอาหารแห่งจักรพรรดิเช่นกัน”
“เช่นนั้นท่านคิดว่าห้องอาหารแห่งจักรพรรดิจะร่วมงานกับตระกูลผังหรือไม่?”
“ยากที่จะบอกได้ แต่จากที่ตระกูลผังได้กล่าวไปในวันนี้ หากข้อเสนอนี้ล้มเหลวพวกเขาคงจะทำลายห้องอาหารแห่งจักรพรรดินี้ไปอยากได้นอน ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมให้ห้องอาหารแห่งจักรพรรดิได้ร่วมงานกับกลุ่มอำนาจอื่นๆ”
“แต่พวกเขายังมีท่านหมอเทวดานะ หากผู้ใดกล้าทำร้ายพวกเขาแสดงว่าคนๆนั้นกำลังทำร้ายหมอเทวดาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจะต้องเตรียมรับมือกับผลที่ตามมาหลังจากที่ได้สังหารหมอเทวดาไป”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น ในหมู่หมอเองก็มีการแข่งขันอยู่สูง ดังนั้นพวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น”
……
“น้องชาย เราควรทำเช่นไรดี? ตระกูลผังนั้นเหี้ยมโหดยิ่งนัก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างสงบสุข” หมอปีศาจถามขึ้น เขาดูกังวลอย่างยิ่ง
“ท่านพี่อย่ากังวลไปเลย ช่วยข้าดูหน่อยว่ามีรุ่นเยาว์จากตระกูลใดบ้างที่สามารถยืนหยัดต่อกรกับตระกูลผังได้ ท่านช่วยข้าดูหน่อยว่าตระกูลเหล่านั้นมีผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาหรือไม่ ไม่ว่าอาการเจ็บป่วยจะเป็นอะไรก็ตาม มันคงจะดีหากพวกเขาไม่ได้เจ็บป่วยในเมื่อพวกเขากล้าที่จะยืนหยัดต่อกรกับตระกูลผัง” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
ดวงตาของหมอปีศาจเป็นประกายขึ้น ด้วยคำพูดนี้เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าความสามารถในการรักษาของชิงสุ่ยนั้นทรงพลังมากเพียงใด คนทีที่ชิงสุ่ยกล่าวเช่นนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าเขาควรทำเช่นไร เขากล่าวขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้เอง ข้าสามารถบอกเจ้าตอนนี้เลยก็ยังได้”
“เช่นนั้นจะดี ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปเรามาพูดคุยเรื่องนี้กันเถอะ เวลา 3 วันนั้นก็เพียงพอ” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับหมอปีศาจ
ผู้คนจำนวนมากออกจากที่แห่งนี้ไปก่อนที่จะทานอาหารเสร็จ อย่างน้อยภายใน 3 วันนี้คงไม่กล้ามีใครมาทานอาหารที่นี่ มีผู้คนจำนวนมากยอมสูญเสียคุณสมบัติของ “ลูกค้า” แห่งห้องอาหารแห่งจักรพรรดิ ทุกๆคนล้วนกลัวว่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้แก่ตระกูลผัง
โดยเฉพาะลูกค้าของชั้นที่สี่ 99% ของคนทั้งหมดต่างยอมสูญเสียคุณสมบัติของการเป็น “ลูกค้า” ไปมีเพียงไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่และมาที่นี่นานๆครั้งเท่านั้น ลูกค้าของชั้นที่ 3 นั้นก็มีหลงเหลืออยู่บ้างแต่ก็เพียงสองสามคนเท่านั้น ชั้นที่สองและชั้นแรกนั้นเหลือลูกค้าเพียง 1 ใน 3 จากจำนวนลูกค้าก่อนหน้านี้ ผู้คนที่มีสถานะต่ำต้อยและไม่ได้ทรงพลังต่างคิดว่าตระกูลผังคงไม่มาจัดการพวกเขาอย่างแน่นอนเพราะนั่นคงเป็นการเสียเวลา ดังนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะทานอาหารที่นี่ต่อไป
หมอปีศาจกำลังมองไปที่บัตรทองคำที่ทรงคุณค่าตรงหน้าเขา สิ่งที่จะเป็นข้อพิสูจน์สำหรับลูกค้าแต่ละชั้น เกือบทั้งหมดได้กลับมาสู่มือของเขาแล้วในตอนนี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พอใจเลยสักนิด
ในทางตรงกันข้ามชิงสุ่ยรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง มันย่อมดีกว่าที่บัตรทองคำพวกนี้ยังได้กลับคืนมา พวกเขาจะไม่ได้รับมันแม้ว่าพวกเขาต้องการมันในครั้งต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะยอมจ่ายราคาที่สูงกว่าเดิมถึง 10 เท่าก็จะไม่ได้รับบัตรนี้ไป อย่างน้อยบัตรทองคำนี้ก็สามารถทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยได้ น่าเสียดายที่พวกเขาได้เลือกที่จะทิ้งมันไปในตอนแรก
“ในหมู่รุ่นเยาว์นั้นมีตระกูลมากมายที่สามารถยืนหยัดต่อกรกับตระกูลผังได้ เช่น ตระกูลหวง ตระกูลคัง ตระกูลซู ตระกูลซื่อกง และตระกูลอี้เหวิน ตระกูลเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยเมื่อเทียบกันแล้ว ที่แห่งนี้คือเมืองหลวงของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำและแต่ละตระกูลที่ทรงพลังก็สามัคคีกลมเกลียวกันอย่างยิ่ง ยังมีบางตระกูลที่เหนือกว่าตระกูลผังในด้านพลังแต่ว่าชื่อเสียงของพวกเขานั้นไม่ได้มีมากพอข้าจึงยังไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์”
ในตอนนี้มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก หลังจากนั้นหยวนหลงก็ได้เข้ามา “นายท่าน มีผู้อาวุโสคนหนึ่งต้องการพบท่านที่ด้านนอก”
ปกติแล้วมีเพียงคนที่อยู่ในชั้น 4 เท่านั้นจึงจะมีสิทธิพิเศษในการขอพบเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสั่งให้หยวนหลงพาคนๆนั้นขึ้นมาที่นี่
คนที่มาที่นี่นั้นเป็นชายชรา ทันทีที่หมอปีศาจได้เห็นชายชราผู้นี้เขาก็รีบพุ่งไปหากันที “ผู้อาวุโสปู้หยาง สิ่งใดทำให้ท่านมาที่นี่กัน?”
ชายชราผู้นี้นั้นดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง เขาอุ้มเด็กหญิงน้อยมาด้วยคนหนึ่ง นางน่าจะอายุประมาณ 3-4 ขวบ หรืออาจจะ 5 ขวบ ผิวของนางนั้นขาวอย่างยิ่ง ผมเปียเล็กๆบนศีรษะของนางนั้นทำให้นางดูงดงามอย่างยิ่ง ดวงตาทั้งสองของนางนั้นมีสีดำราวกับอัญมณี เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นเด็กหญิงผู้นี้เขาก็นึกถึงลูกสาวของตนเองขึ้นมาทันที
หมอปีศาจรู้สึกตื่นเต้นยิ่ง ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ผู้อาวุโสปู้หยางได้มาเป็นลูกค้าของห้องอาหารแห่งจักรพรรดิแห่งนี้
“โอ้ ท่านรู้จักข้าด้วยนั้นหรือ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง ข้าได้ซื้อซาลาเปาหยก 2 ลูกไปพร้อมกับเขา ข้ากินมันไปลูกหนึ่ง จากนั้นข้าก็ได้มอบอีกลูกหนึ่งให้แก่หลานสาวของข้า หลังจากนั้นเรื่องทุกๆอย่างก็ได้เกิดขึ้น”
ชายผู้นี้ไม่ได้กล่าวอะไรมากนักแต่ก็อธิบายทุกๆอย่างได้อย่างละเอียด
“ผู้อาวุโสปู้หยาง นี่คือน้องชายของข้า เขาเชี่ยวชาญในด้านการแพทย์มากกว่าข้าถึง 10 เท่า ซาลาเปานั่นก็เป็นสิ่งที่เขาได้ปรุงขึ้นมา เพียงแต่ว่าเขาสามารถปรุงมันได้จำนวนจำกัดในแต่ละวันเพราะว่าส่วนผสมที่หามาได้นั้นมีจำนวนจำกัด” หมอปีศาจรีบแนะนำชิงสุ่ยให้แก่ชายชรา
หมอปีศาจอาจไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับผู้อาวุโสปู้หยางหรือตระกูลปู้หยาง แต่ชิงสุ่ยก็รับรู้มันได้จากท่าทีของหมอปีศาจ เขาเป็นหมอที่ทรงพลัง ไม่เคยแสดงความเคารพต่อผู้ใดเลย แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่มีพลังมากกว่าเขา แต่เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไรที่สำคัญ เขาเป็นหมอ เขาสามารถควบคุมได้ทั้งชีวิตและความตายของคนอื่นๆ
แต่หมอปีศาจนั้นเคารพชายชราผู้นี้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังของชายชราได้ มันเหมือนกับทะเลที่ลึกจนไร้ก้นบึ้ง
“เจ้าเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์จริงๆ หมอเทวดาน้อย คนที่มีความทะเยอทะยานอย่างเจ้าจะต้องยิ่งใหญ่ในอนาคต ข้าสงสัยว่าซาลาเปานั่นขายหมดแล้วหรือยังในวันนี้” ชายชราถามด้วยความกังวลเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองไปยังหลานสาวของตนเอง
หมอปีศาจกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็ถูกชิงสุ่ยขัดจังหวะ “ขอบคุณสําหรับความห่วงใยของท่าน เรายังพอมีเหลืออยู่บ้าง แต่ว่าท่านจะต้องรออีกสักหน่อย”
“ได้เลย เช่นนั้นข้าจะลงไปรอข้างล่างเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเจ้า” ชายชรากล่าวลาชิงสุ่ย เขาจูงมือเด็กหญิงน้อยได้เดินลงไปด้านล่าง
“ผู้ที่มีเส้นลมปราณสวรรค์!”
ชิงสุ่ยมองไปยังเด็กหญิงน้อยและกล่าวออกมาช้าๆ
ชายชราหันกลับมาทันทีและมองมายังชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้าสมควรได้รับชื่อหมอเทวดาจริงๆ”
ชายชรายิ้มขึ้นทันทีที่เขากล่าวจบ หลังจากนั้นเขาก็เดินลงไปข้างล่างพร้อมกับเด็กหญิงน้อย
“พี่ใหญ่ ท่านบอกข้าเรื่องความเป็นมาของผู้อาวุโสท่านนี้ได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ตระกูลปู้หยางนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลอี่หวงเลย แต่ตระกูลปู้หยางนั้นมักจะทำตัวติดดินอยู่เสมอ ผู้อาวุโสท่านนี้มาที่นี่เพื่อซาลาเปาหยก ถ้าเขามาเร็วกว่านี้สักหน่อยผังเต๋อคงไม่กล้าที่จะหยาบคายเช่นนั้น” หมอปีศาจดูเหมือนจะรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย
“เหลือคนอีกไม่มากที่อยู่บนชั้น 4 เรามาแจกซาลาเปานี้ให้แก่พวกเขาได้แก่พวกเขาด้วยแล้วกัน ไม่ว่าใครก็ตามที่ยังอยู่ที่นี่พวกเขาทั้งหมดที่เป็นลูกค้าชั้นดีของห้องอาหารแห่งจักรพรรดิ” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ ใช่แล้ว น้องชาย ผู้ที่มีเส้นลมปราณสวรรค์คืออะไรกัน?” หมอปีศาจถามด้วยความงุนงง
“ผู้ที่ไม่มีเส้นลมปราณ!” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หมอปีศาจหยุดพูดไปในทันที นี่เป็นอาการเจ็บป่วยที่หาได้ยากยิ่งนัก มันไม่อาจรักษาได้ แม้ว่าจะมียาอย่างยามหัศจรรย์กระดูกมรณะมันไร้ประโยชน์สำหรับอาการเจ็บป่วยชนิดนี้ เหตุผลที่ผู้ป่วยไม่มีเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายนั้น เดิมทีผู้ที่มีเส้นลมปราณสวรรค์นั้นไม่ควรจะสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ แต่เนื่องจากเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้มีพลังปราณอยู่ภายในกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะของเธอ จึงทำให้เธอสามารถมีชีวิตอยู่ได้
“น้องชายสามารถรักษามันได้หรือไม่?” หมอปีศาจมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความสงสัย
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” หากชิงสุ่ยไม่มีเข็มแห่งชีวิตและความตาย เขาคงบอกว่าเขาทำไม่ได้ แต่ในตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองมีความมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
…..
ซาลาเปาหยกได้ถูกทำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชิงสุ่ยถือถาดของซาลาเปานี้เดินลงไปข้างล่าง แต่เขาถือลงไปเพียงเฉพาะของชายชราและเด็กหญิงน้อยเท่านั้น ดูเหมือนจะมีซาลาเปามากขึ้นกว่าปกติในวันนี้
ชายชรายืนขึ้นทันทีเมื่อเขาเห็นชิงสุ่ยถือซาลาเปานี้ลงมาด้วยตนเอง ตั้งแต่เริ่มต้นนั้นชิงสุ่ยก็รู้ว่าชายชราผู้นี้นั้นไม่ใช่ชายชราที่หยิ่งผยอง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติอย่างยิ่งแตกต่างจาก ผังเต๋อ ที่หยิ่งผยองและทำตัวเหนือผู้อื่นเพียงเพราะเขารู้สึกว่าตนเองนั้นอยู่เหนือกว่า
“ขอโทษที่สร้างปัญหาให้นะ หมอเทวดาน้อย” ชายชราป่วยเห็นรอยยิ้มที่อบอุ่น
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นี้สำหรับเด็กหญิงน้อยผู้นี้น่ารักยิ่งนัก” ชิงสุ่ยยิ้มเมื่อเขาวางถาดของซาลาเปาลงบนโต๊ะ
“ขอบคุณค่ะ คุณลุง!”
เด็กน้อยกล่าวด้วยความยินดี บางทีนางอาจไม่ได้ยินดีที่ได้พบเขาแต่นางยินดีที่ได้รับซาลาเปานี้อีกครั้ง ชิงสุ่ยก็รู้สึกได้เช่นกัน
“ท่านผู้อาวุโส ทำไมท่านไม่ลองกินมันสักหน่อย? หากท่านชอบข้าจะมอบมันให้แก่ท่านในทุกๆวัน ด้วยวิธีนี้ท่านก็จะไม่ต้องพาเด็กหญิงน้อยผู้นี้มาที่นี่ในทุกๆวัน”
“ที่แห่งนี้นั้นค่อนข้างวุ่นวาย กล่าวตามตรงมันทำให้ข้าลดความเบื่อหน่ายของตนเองลงไปได้ ข้าต้องการที่จะทำให้เด็กหญิงน้อยคนนี้พึงพอใจตราบเท่าที่นางต้องการ” ชายชรามองไปยังเด็กหญิงน้อย เขารักนางอย่างสุดซึ้ง นอกจากนี้ยังมีร่องรอยของความโศกเศร้าในสายตาของเขาเมื่อได้มองไปที่นาง
“เช่นนี้เป็นไร ท่านผู้อาวุโส ในช่วง 2-3 วันนี้ข้าจะพยายามหาวิธีเพื่อที่จะช่วยเหลือนาง?” เหตุผลที่ชิงสุ่ยต้องการช่วยเหลือเด็กหญิงน้อยผู้นี้ไม่ใช่เพราะว่านางเป็นคนของตระกูลปู้หยาง แม้ว่าจะเป็นคนที่มาจากตระกูลธรรมดาเขาก็จะยืนยันที่จะช่วยเหลือ ชิงสุ่ยไม่เคยเปลี่ยนแปลงปฏิญาณของเขาในเรื่องนี้
“หมอเทวดาน้อย เจ้าสามารถรักษานางได้งั้นหรือ?” ร่างกายของผู้อาวุโสปู้หยางสั่นขึ้นทันทีเมื่อเขามองไปยังชิงสุ่ย
“ข้ายังไม่อาจกล่าวได้ว่าข้าสามารถรักษานางได้ 100% แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถรับประกันได้ว่าข้าจะทำให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก พ่อและแม่ของเด็กสาวผู้นี้จากไปตั้งแต่นางได้เกิดมา ตอนที่ข้าเห็นนางครั้งแรกนั้นนางกำลังร้องไห้อยู่ แม้ว่าพวกเราจะอยู่ห่างกันหลายรุ่นแต่เมื่อข้าได้กอดนางนางก็หยุดร้องไห้ลง หากเป็นคนอื่นกอดนางจะยังคงร้องไห้ต่อไป มันสำคัญกับข้ายิ่งนัก ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะเป็นผู้ที่มีเส้นลมปราณสวรรค์ ดังนั้นนางยังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะลมปราณแรกเริ่มของข้า แต่หากนางเติบโตต่อไปเรื่อยๆ มันจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนักสำหรับข้าที่จะทำเช่นนี้ต่อไป” น้ำเสียงของผู้อาวุโสปู้หยางนั้นดูตื่นเต้นอย่างยิ่ง