Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1466
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 1466 – การฝึกฝนของถานท่าย หลิงเยียนเสร็จสิ้นแล้ว ความงามนั้นมีประโยชน์อะไร?
ทันทีที่ชิงสุ่ยเดินเข้าไปในลานหน้าคฤหาสน์ เขาก็ได้พบเจอกับถานท่าย หลิงเยียนที่ยืนอยู่ด้านหน้าศาลาทันที เธอมองกลับมาด้วยท่าทางที่พึงพอใจทั้งทั้งที่ได้เห็นหน้าชิงสุ่ย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ชิงสุ่ยเองที่ได้เห็นรอยยิ้มอันรื่นรมย์ของเธอ ยิ่งทำให้เขารู้สึกสบายใจ ก่อนหน้านี้เขาเป็นห่วงหญิงสาวคนนี้อย่างมากที่แยกตัวออกไปเพื่อฝึกฝนอย่างสันโดษ แต่ในตอนนี้เธอดูเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
ชิงสุ่ยเดินตรงเข้าไปหาเธอที่ศาลาพัก
“ขอแสดงความยินดีด้วยกับการฝึกฝนของเจ้าที่เสร็จสิ้นแล้ว”
“ดีใจอะไรกัน 2 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง?”ถานท่าย หลิงเยียนจ้องมองชิงสุ่ยอย่างอ่อนโยน
เสียงของเธอรึยังคงปกติเต็มไปด้วยความเยือกเย็น และชิงสุ่ยก็สามารถรับรู้ได้ถึงโทนเสียงที่เธอพูดอย่างชัดเจน
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? มีเจ้าแข็งเก่งขนาดไหนแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มขณะถาม
” มันก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ข้าสามารถเพิ่มพูนพลังของข้าได้ประมาณ 1 ใน 3 ส่วน”ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย
อันที่จริงแล้ว ชิงสุ่ยนั้นยอมรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของถานท่าย หลิงเยียน ในปัจจุบันเธอมีพลังอยู่ประมาณ 150 ล้านสุริยา ดูเหมือนว่าการแยกตัวไปฝึกฝนอย่างสันโดษในครั้งนี้จะทำให้เธอได้รับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก สาเหตุที่เธอเพิ่มพลังได้มากขนาดนี้คงเกิดจากตอนที่เธอได้เข้าไปร่วมต่อสู้ภายในซากโบราณสถาน และเมื่อถึงจุดที่เธอไม่อาจเพิ่มพลังได้ต่อไปเธอจึงต้องการเวลาโดยเลือกที่จะแยกออกไปฝึกตนตามลำพัง และมันก็ทำให้เธอสามารถเปลี่ยนแปลงหลักฐานพลังได้สำเร็จ
“เหมือนข้าจะเห็นป่าไม้หอมที่อยู่ใกล้ๆนี้ มันเป็นเพียงไม่กี่สถานที่ที่งดงาม ข้าคิดว่าเจ้าเพิ่งออกมาจากการฝึกตนอย่างสันโดษคงจะรู้สึกโดดเดี่ยว เจ้าสนใจจะไปเที่ยวเล่นมองดูทิวทัศน์บริเวณนั้นหรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวถาม
ถานท่าย หลิงเยียนตกใจเล็กน้อยเธอไม่รู้ตัวว่าเมื่อใดกันที่เธออารมณ์ผันผวนได้มากขนาดนี้ หลังจากที่เธอไม่ได้สัมผัสมันมานาน การพูดคุยกับชิงสุ่ยจึงทําให้เธอกลับมารู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง
ชิงสุ่ยยังคงจ้องมองท่าทางตกใจของเธอ คนอย่างเขาที่มีประสบการณ์มากมายย่อมรู้ในทันทีว่าเธอกำลังได้ลึกถึงความหลัง
“ก็ได้ ไม่ใช่เพราะว่าข้ารู้สึกอยากจะผ่อนคลายหรอกนะ แต่เป็นเพราะตอนนี้ข้าว่างไม่รู้จะทำอะไรดีต่างหาก”ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวอย่างนุ่มนวล
“หลิงเยียน เจ้าได้สังเกตไหมว่าเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก”ชิงสุ่ยยิ้ม
“เปลี่ยนแปลง?อะไรกันที่เปลี่ยนแปลง?”ถานท่าย หลิงเยียนเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ชิงสุ่ยคิด แต่เธอก็ยังเลือกที่จะตั้งคำถามกับเขา
“เจ้าเริ่มพูดมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น อีกครั้งก็ยังดูเป็นธรรมชาติกว่าแต่ก่อนเยอะมาก”ชิงสุ่ยยิ้มขณะจ้องมองเธอ
“อย่างนั้นหรือ?”ถานท่าย หลิงเยียนเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่เธอก็สัมผัสมันได้
“จริงๆนะ ข้าพูดจริงๆ เอาเถอะ พวกเราไปกันเถอะเดี๋ยวข้าจะนำทางเจ้าเอง!!”
หลังจากที่เขากล่าวจบเขาไม่รอคำตอบจากถานท่าย หลิงเยียน เขาไม่สนใจว่าเธอจะยินยอมหรือไม่ เขารีบคว้าแขนของเธอพร้อมทั้งเปิดใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวาทันที
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่หุบเขาซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับป่าไม้หอมซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของหุบเขาเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตร
ในตอนที่ชิงสุ่ยจับมือของเธอ เธอรู้สึกราวกับคนไร้เรี่ยวแรง มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่ก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่อยู่ในใจ ในบางครั้งชายผู้นี้ก็กลายเป็นคนโป้ปด แต่ในบางครั้งชายผู้นี้ก็เป็นคนที่บริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
ดวงตาของเธอนั้นเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ในขณะที่มองดูเขาเธอเองก็รู้สึกตื่นเต้น ซึ่งตัวของชิงสุ่ยเองก็ตื่นเต้นไม่ต่างกัน เขาหวังว่าหญิงสาวผู้นี้จะเปิดใจของเธออย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้เขารู้ว่าเธอไม่ได้ผลักไสมือของเขาออกไปอีกแล้วเหมือนเช่นเคย
เนื่องจากป่าถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเขาจึงทำให้ไม่มีลมพัดผ่าน อากาศจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่หอมอบอวล ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาเหนือเนินเขานั้นเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มและหนาทึบจนเกือบมองไม่เห็นผืนดิน สิ่งนี้ช่างเป็นภาพที่งดงามกว่าพื้นที่ป่าในโลกใบก่อนของเขามาก
ส่วนตัวป่าไม้หอมถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงคะนองเมื่อมองดูใกล้ๆคล้ายกับเมฆเพลิงที่กำลังเผาผลาญ แต่กลับส่งกลิ่นหอมและความอุดมสมบูรณ์ออกมาจากพวกมัน ต้นไม้เหล่านี้ไม่สูงมากนักแต่ละต้นสูงประมาณ 10 เมตร และอยู่ห่างจากกันพอสมควร
ไม่รู้ว่าชิงสุ่ยแกล้งทำเป็นลืมหรือไม่แต่เขายังคงคว้ามือของถานท่ายหลิงเยียนแล้วเดินคืบหน้าเข้าไปภายในป่าไม้หอมแห่งนั้น
ถานท่าย หลิงเยียนหันกลับมาจ้องมองชิงสุ่ยราวกับเธอต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดมันออกมาและปล่อยให้ชายคนนี้จับมือของเธอตามที่เขาพึงพอใจ
ถ้าหากเป็นชายคนอื่นแล้วก็เธอต้องปฏิเสธทันทีอย่างไม่ลังเลแน่นอน และจุดจบของชายผู้นั้นคงกลายเป็นเพียงแค่ซากศพทันใด
“หลิงเยียน ที่นี่ดูเป็นไงบ้าง?”ชิงสุ่ยมุ่งหน้าเดินเข้าไปในป่าไม้หอมขณะที่เคยกล่าวถามอย่างมีความสุข
“ถือว่าเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว”
ชิงสุ่ยยังคงตีเนียนจับมือของเธอ โดยที่ใบหน้าของเขาปรากฏให้เห็นรอยยิ้มมุมปาก
เมื่อถานท่าย หลิงเยียนมองเห็นรอยยิ้มของชิงสุ่ย เธอรู้สึกสับสนแต่ก็สงสัยว่าทำไมเธอถึงมีความสุขเมื่อเห็นรอยยิ้มเหล่านี้จากชิงสุ่ย? การที่ชายคนนี้แกล้งจับมือของเธอนั้นมันให้ความรู้สึกที่เธอไม่อาจบรรยายได้
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆหรือ? ข้าถือว่านี่เป็นรางวัลสำหรับเจ้า แต่อย่าหลงระเริงมากนักล่ะ”ถานท่ายหลิงเยียนยกแขนขึ้นมาเพื่อให้ชิงสุ่ยเห็นว่าเขากำลังจับมือเธออยู่
ชิงสุ่ยตกตะลึงเล็กน้อยก่อนหันกลับไปมองรอยยิ้มที่แสนเย็นบนใบหน้า “เจ้าบอกข้าทำไม? ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็รู้สึกดีด้วยหรือ?”
“ข้าเพียงต้องการจะบอกให้เจ้าระมัดระวังมากกว่านี้ เจ้าไม่กลัวข้ารู้สึกอึดอัดรึ?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลิงเยียน ก็ได้ก็ได้ เอาเป็นว่าพวกเราไปเดินเล่นกันต่อเถอะ”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างหน้าไม่อาย เขายังคงจับมือของเธออย่างแน่นหนาราวกับว่าถ้าหากเขาปล่อยมือเธอจะหายไป
ถานท่าย หลิงเยียนไม่ได้รู้สึกโกรธในคำพูดของชิงสุ่ยเลย เธอกลับเงียบลง และขบคิดคำพูดของชิงสุ่ย ในความจริงแล้วหัวใจของเธอเองกลับรู้สึกตื่นเต้น
นี่คือความรู้สึกของคนที่กำลังตกหลุมรักงั้นหรือ?
ในขณะที่เธอกำลังคิด เธอก็หน้าแสดงสีหน้าเขินอาย มันเป็นความงดงามที่เกิดจากส่วนลึกของหัวใจ ส่วนอีกด้านหนึ่ง ชิงสุ่ยเองก็กำลังมองดูหญิงสาวผู้นี้โดยที่หัวใจของเขาก็ตื่นเต้นเช่นกัน
ราวกับว่าถานท่ายหลิงเยียนจะสามารถรับรู้ได้ถึงความคิดจากสายตาของชิงสุ่ย เธอหันกลับมามองชิงสุ่ยอย่างเยือกเย็นอีกครั้ง มันทำให้หัวใจของชิงสุ่ยเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่ นึกๆแล้วเขาเองรู้สึกดีใจยิ่ง สำหรับหญิงสาวที่เคยรังเกียจเขาแต่ตอนนี้เขาก็สามารถทำให้เธอหลงใหลในตัวเขาได้
“เจ้าช่างงดงามเหลือเกิน!!”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว
หญิงสาวเลือกที่จะหันไปข้างหนึ่งโดยไม่สนใจคำพูดของเขา แต่ใบหูที่ขาวนวลของเธอนั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำ ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะแสดงให้เห็นสีชมพูระเรื่อ
หญิงสาวคนนี้ยังคงจับมือของชิงสุ่ยและเดินตรงไปยังจุดที่มีดอกไม้ขึ้นสูงและกระจายไปทั่วพื้นที่ มันเป็นที่ราบลุ่มที่เต็มไปด้วยคลื่นดอกไม้สีสันแตกต่างกันมากมายจนก่อเกิดให้เป็นความงามที่ไม่อาจบรรยายได้
ตรงกลางของกลุ่มดอกไม้ ยิ่งเสริมสร้างความสง่างามของถานท่าย หลิงเยียน ร่างกายของเธอนั้นสมส่วน หน้าอกกลมมน และมีรูปลักษณ์ใบหน้าที่แสนงดงาม ถ้าหลวมๆของเธอไม่อาจซ่อนรูปรักที่แท้จริงของเธอได้
“เจ้าคิดว่าข้าดูดีหรือไม่?” หญิงสาวผู้นั้นกล่าวถามชิงสุ่ยอย่างลุกลี้ลุกลน เพราะเธอกำลังเห็นชิงสุ่ยที่จับตามองเธออยู่
“แน่นอนอยู่แล้ว”ชิงสุ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
“บอกข้าหน่อยสิ ว่าความงามนั้นมีประโยชน์อะไร?”
“มากมายเลยล่ะ”ชิงสุ่ยตอบกลับทันที
“หมายความว่าอย่างไร?”ถานท่าย หลิงเยียนยังคงสงสัย
“ผู้ที่มีความงดงามย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เช่นความงามทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้ เช่นเดียวกับภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม หญิงสาวที่งดงามก็สามารถทำให้คนมองเห็นมันมองดูทิวทัศน์ที่แสนงดงาม มันจะทำให้คนๆนั้นอารมณ์ดีขึ้น เมื่อสภาวะจิตใจที่ดีขึ้นความตั้งใจในการฝึกฝนก็จะมากขึ้น มันเปรียบเสมือนยาอมตะที่รักษาหัวใจ และยืดชีวิตของคนคนหนึ่งให้ยาวขึ้นเพื่อให้สามารถกลับมาเจอคนที่อยากเห็นได้ แล้วคนผู้นั้นจะยิ่งมีความสุขหากหญิงสาวที่แสนงดงามยิ้มให้กับเขา”
ถานท่าย หลิงเยียนจ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่ตกตะลึงเพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะพูดอธิบายมากมายขนาดนี้
“เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ?”ชิงสุ่ยยิ้มและเอ่ยถาม
“ข้าเชื่อ…….”
ชิงสุ่ยยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบของเธอ เขายังคงจับมือของเธอ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องราวสนทนาให้กลายเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ถานท่าย หลิงเยียนจะนั่งฟังในสิ่งที่ชิงสุ่ยเล่า
ในชั่วพริบตาเกือบครึ่งวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พระอาทิตย์ก็ใกล้ตกแล้ว ผืนแผ่นดินถูกยอมไปด้วยสีส้ม ทั้งสองคนจึงเดินทางกลับมายังพระราชวังจอมอสูร
โดยที่ชิงสุ่ยกำลังจะกล่าวอำลาถานท่าย หลิงเยียน ซึ่งเธอค่อนข้างลังเลก่อนจะเปิดปากกล่าวเชิญชวนว่า “มาทานอาหารเย็นกันเถอะ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนเตรียมอาหารให้เจ้าเอง”
ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยเธอจะตอบกลับในคำพูดที่เขาคาดคิดเอาไว้ แต่ใครจะคาดคิดว่าเธอจะตอบกลับเช่นนี้ เมื่อเธอบอกว่าเธอต้องการจะเตรียมอาหารด้วยตัวเอง ชิงสุ่ยจึงไม่ได้ขัดคำพูดของเธอและเลือกที่จะยืนดูและให้กำลังใจเธอแทน
ห้องครัวภายในคฤหาสน์ของเธอนั้นเป็นเพียงแค่ห้องครัวขนาดทั่วไป และมีเนื้อสัตว์อยู่บางส่วน ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยได้เข้าครัวมากนัก ทุกครั้งที่ชิงสุ่ยมองดูเธอทำมาทำให้เขารู้สึกดีอย่างยิ่ง
“วันนี้เป็นวันพิเศษหรือ?”ชิงสุ่ยเอ่ยถาม
ถานท่าย หลิงเยียนส่ายหน้าและตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ก็ไม่นะ วันนี้เป็นเพียงแค่วันธรรมดาวันนึง”
หลังจากที่ทั้งสองคนเริ่มต้นรับประทานอาหาร ชิงสุ่ยชื่นชอบอาหารในวันนี้เป็นพิเศษซึ่งมันทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างมาก นี่ถือเป็นความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ เพราะวันนี้เธอดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด
ชิงสุ่ยมองเห็นชัดเจนแล้วว่าถานท่าย หลิงเยียนได้เปลี่ยนแปลงบุคลิกไปอย่างสมบูรณ์ แต่ในสายตาของชิงสุ่ยเธอยังคงเป็นประมุขอสูรที่แสนเยือกเย็นและงดงามเฉกเช่นดังเดิม
พวกเขาใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการรับประทานอาหารจนกระทั่งตอนนี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว
“ชิงสุ่ย ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว”
“เจ้าอยากให้ข้านั่งเฝ้าและมองดูเจ้านอนสินะ?”
“ไม่ ข้าไม่เคยกล่าวเช่นนั้นเลย”ถานท่าย หลิงเยียนตอบกลับชิงสุ่ยอย่างรวดเร็ว
“อืมม งั้นเอาเป็น ไว้ครั้งหน้าข้าขอมารับประทานอาหารที่ห้องของเจ้าอีกได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถาม