Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1614 - การประลองระหว่างเด็กรุ่นเยาว์ของตระกูลชิงและตระกูลน่าหลาน(1)
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1614 - การประลองระหว่างเด็กรุ่นเยาว์ของตระกูลชิงและตระกูลน่าหลาน(1)
บทที่ 1614 – การประลองระหว่างเด็กรุ่นเยาว์ของตระกูลชิงและตระกูลน่าหลาน(1)
ตั้งแต่เริ่มต้นประกาศการประลองก็ยังไม่มีคนจากตระกูลใดขึ้นไปบนลานประลองเลย ถึงแม้ว่าตะกูลน่าหลานจะเป็นฝั่งที่ท้าทาย แต่ก็เป็นเพียงการท้าประลองของเด็กรุ่นใหม่เท่านั้น แต่เด็กรุ่นใหม่ก็ถือเป็นตัวแทนในอนาคต และอาจนําพาทั้งสองตระกูลเข้าสู่สงครามอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อไม่เห็นว่ามีใครขึ้นไปบนเวทีประลอง ชิงฉางเฟิง จึงก้าวเดินขึ้นไปบนคนแรก ชิงฉางเฟิงมีลักษณะคล้ายชิงลือผู้เป็นพ่ออย่างมาก ทั้งสองคนมีความสูงที่คล้ายคลึงกันและยังดูชื่อตรงแต่เมื่อเทียบกับชิงจือแล้ว ผู้เป็นพ่อย่อมมีสง่าราศีมากกว่า
ทันทีที่ตระกูลน่าหลานสังเกตเห็นว่าชิงฉางเชิงก้าวขึ้นสู่ลานประลอง ชายหนุ่ม หญิงสาวของตระกูลก็รีบเดินตรงขึ้นไปเช่นกัน และชิงสุ่ยเหมือนจะสังเกตเห็นคนที่ชิงหมิงสร้างความบาดเจ็บให้เพราะบนใบหน้านั้นปรากฏให้เห็นรอยช้ําของบาดแผล
และชายหนุ่มผู้นั้นก็คือน่าหลาน เหลียนเฮง เขาคือบุตรคนที่ 5 ของผู้นําตระกูลน่าหลาน ผู้ชายที่เกิดมาในตระกูลร่ํารวย แม้ว่าเขาจะมีพละกําลังพอตัว แต่ก็ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่อันดับต้นๆของกลุ่มรุ่นเยาว์ในตระกูลน่าหลานได้ ศักยภาพที่เขาดึงออกมาจากตัวเองนั้นยังคงอ่อนด้อยและการกระทําของเขาก็เป็นเหมือนการตบหน้าตะกูลตัวเองให้ต้องอับอาย
ตระกูลต่างๆ และชนชั้นสูงส่วนมากล้วนมีลักษณะแบบนี้ เด็กรุ่นเยาว์จะพึ่งพาพื้นเพของตระกูลเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น พวกเขาไม่เคยรู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน และเมื่อได้รับผลกระทบอย่างหนักกลับมา มันทําให้พวกเขารู้สึกเหมือนว่ากําลังโดนดูถูกจนต้องอับอาย
น่าหลาน เหลียนเฮงไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับชิงหมิงเลย แต่เขาเคยประลองแลกเปลี่ยนวรยุทธกับชิงฉางเฟิงมาก่อน ในตอนนั้นแม้จะเป็นเพียงการต่อสู้แลกเปลี่ยนเพียงแค่ 2-3 กระบวนท่า แต่เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะชิงฉางเฟิงได้
และเมื่อน่าหลาน เหลียนเฮงขึ้นไปข้างบนลานประลอง ชิงฉางเฟิงดูเหมือนจะไม่แสดงทีท่ากังวลใดๆออกมาเลย เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “อย่าได้เสียใจที่เลือกขึ้นมาสู้กับข้า และจงยอมรับถ้าหากเจ้าต้องบาดเจ็บ
“ข้าจะบาดเจ็บได้อย่างไร เพราะเจ้ามันไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับข้าเลย ถ้าหากรู้ในพลังของตัวเองก็จงยอมแพ้และลงไปซะ อย่าทําให้ข้าต้องบีบบังคับให้เจ้ายอมแพ้ด้วยตัวเอง”
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะไม่บาดเจ็บจริงๆเหรอ? เช่นนั้นก็ดี เพราะข้าคิดว่าเจ้าจะต้องเจ็บตัว แน่”ชิงฉางเฟิงระเบิดเสียงหัวเราะ
ทันที่ที่บทสนทนาจบลง ชิงฉางเฟิงระเบิดพลังและพุ่งเข้าหาน่าหลาน เหลียนเฮงอย่างรวดเร็วเขาปล่อยหมัดอรหันต์ซึ่งเป็นทักษะที่ชิงสุ่ยได้ถ่ายทอดให้กับชิงฉางเฟิงโดยตรง
น่าหลาน เหลียนเฮง จ้องมองชิงฉางเฟิงด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะปล่อยมันของเขาออกไปเช่นกัน
ชิงฉางเฟิงยิ้ม แม้ว่าการต่อสู้ครั้งที่แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนัก แต่ในครั้งนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์เพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น ยิ่งคู่ต่อสู้หยิ่งยโสมากเท่าไหร่ความอับอายพ่ายแพ้จะต้องรับให้หลังจากตกจากเวทีก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ทันทีที่กําปั้นของชิงฉางเฟิงเข้าใกล้น่าหลาน เหลียนเฮง เพลงหมัดของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบฝามือหมีอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือหมีตะปบ!!
ความแข็งแกร่งของชิงฉางเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน น่าหลานเหลียนเองไม่คิดเลยว่าชิงฉางเฟงจะมีพลังเพิ่มพูนมากถึงเพียงนี้ภายในเวลาไม่กี่วัน แรงกดดันที่ปลดปล่อยออกมาจากชิงฉางเฟิงราวกับภูเขาลูกใหญ่กําลังลงมาทับเขา
สีหน้าของน่าหลาน เหลียนเฮงบ่งบอกถึงแรงกดดันจํานวนมหาศาลอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะพยายามถอยร่นเพื่อหลบหนีแต่มันก็สายเกินไปแล้ว
ปังงงงงงง!!
หนึ่งกระบวนท่า แค่หนึ่งกระบวนท่าก็แรงมากพอที่จะซัดน่าหลาน เหลียนเฮง ให้ปลิวออกจากเวทีประลอง ดูเหมือนความแข็งแกร่งของเด็กรุ่นเยาว์กลุ่มนี้จะมีเพียงพอที่จะหยัดยืน และบ่งบอกว่าพวกเขานั้นอ่อนแอเพียงใด
ตระกูลชิงมีความสุขอย่างมากที่ได้ชัยชนะครั้งแรกมาครอง ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสงบนิ่ง ผู้คนเริ่มส่งเสียงให้กําลังใจชิงฉางเฟิง เพราะทุกคนคิดไว้แล้วว่าตระกูลชิงจะต้องกําชัยชนะมาได้
ทางกลับกันแม้แต่ตระกูลน่าหลานจะยังที่ถ้าสงบนิ่งแต่ในใจของพวกเขานั่นร้อนรนมาก เพราะตระกูลชิงส่งผู้ท้าประลองขึ้นสู่เวทีประลองเป็นคนแรก ฉะนั้นตระกูลน่าหลานน่าจะกําข้อได้เปรียบและส่งคนที่มีความสามารถขึ้นไปเอาชนะ แต่ท้ายที่สุดตระกูลน่าหลานกลับนําเอาความพ่ายแพ้กลับมา สิ่งนี้จะทําให้คนภายนอกมองดูถูกว่าตระกูลน่าหลานนั้นโง่งม เพราะการประลองครั้งแรกสําคัญมาก มันคือส่วนหนึ่งในการเพิ่มพูนความขวัญกําลังใจ
แน่นอนว่าชิงฉางเฟิงยังไม่ได้เปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงเลย เด็กรุ่นเยาว์คู่ต่อสู้คนต่อไปขึ้นมาบนลานประลองอย่างรวดเร็ว เขามาพร้อมกับกระบี่ยาว ภายนอกอาจดูไม่แข็งแกร่งเท่าชิงฉางเฟิง แต่ลักษณะท่าทางมองดูแล้วเป็นคนสุขุมลุ่มลึก และเข้าใจยากฉะนั้นชิงฉางเฟิงจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นขึ้นมาพร้อมกับกระบี่ ชิงฉางเฟิงจึงหยิบก้อนคู่กายของตนเองออกมามันคือค้อนยักษ์ที่ได้รับจากชิงสุ่ย แน่นอนว่าบรรดาเด็กๆทั้งหลายล้วนแล้วแต่ได้รับศาสตราวุธประจํากาย ซึ่งเป็นของวิเศษจากชิงสุ่ย
“เจ้าคิดว่าความแข็งแกร่งที่เจ้ามีวันเพียงพอแล้วหรือ? ในสายตาของข้าเจ้ามันธรรมดาเกินไป” เด็กหนุ่มผู้นั้นกล่าวด้วยน้ําเสียงหยิ่งยโส
“น่าหลานเว่ย เจ้าควรหักหุบปากหยุดพูดเรื่องไร้สาระสักที”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะลงจากเวทีประลอง เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าเอง เมื่อน่าหลานเว่ยกล่าวจบเขาก็เพิ่งกระโจนเข้าหาชิงฉางเฟิงทันที
น่าหลานเว่ยพุ่งเข้ามาเป็นเส้นตรง ในขณะที่ชิงฉางเฟิงเหมือนจะดูออกว่าศัตรูคิดอะไรและดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับรูปแบบการต่อสู้ครั้งนี้ เขาค่อยๆเหวี่ยงค้อนยังในแนวราบเพื่อเข้าปะทะ
ทักษะค้อนหลอมโลหะ!!
นี่คือหนึ่งในรูปแบบของทักษะพันค้อนกัมปนาท ซึ่งชิงสุ่ยได้ถ่ายทอดทักษะวิชานี้แก่ชิงจือชิงหยู ชิงฉางเฟิง และคนที่เชี่ยวชาญทักษะวิชานี้มากที่สุดก็คือชิงฉางเฟิง
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ตอนที่ชิงสุ่ยยังมีพลังน้อยนิด เขาเองก็อาศัยทักษะพันค้อนกัมปนาทเพื่อเอาชนะผู้ฝึกตนระดับปราณนักบุญพิโรธ แม้ว่าทักษะพันค้อนกัมปนาทจะดูง่าย แต่เอาเข้าจริง กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันจะต้องผ่านการเรียนรู้ทักษะกระบีพื้นฐานขั้นสูงสุด และแม้ว่าตัวของชิงฉางเฟิงอาจจะยังไม่เข้าใจทักษะนี้อย่างถี่ถ้วน แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าเขาทําได้
ทักษะพันค้อนกัมปนาทเป็นทักษะที่มีการเคลื่อนไหวน้อยแต่ก็เป็นไปด้วยความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ รูปแบบค้อนแนวราบ เป็นเพียงแค่การฝากถอนออกไปเพื่อป้องกันการโจมตีศัตรูและในขณะเดียวกันปลายก้อนก็จะทุบอัดศัตรูด้วยพลังระดับมหาศาลซึ่งถูกถ่ายทอดจากพลังปราณร่างกายสู่ปลายก้อน การโจมตีแค่ครั้งเดียวสามารถระเบิดอัดพลังปราณจํานวนมากที่รุนแรงมากพอจะแบ่งแยกสวรรค์และโลกออกจากกันได้
ตูมมมมมม!!!!!
คลื่นพายุพัดพาเศษฝุ่น ให้ฟุ้งกระจายไปทั่ว ก่อนที่จะเผยเห็นร่างของชิงฉางเฟิงกระเด็นออกจากจุดที่ยืนอยู่ ในขณะที่น่าหลานเว่ยยังคงยืนอยู่นิ่ง นี่คงเป็นข้อบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าน่าหลานเว่ ยมีพลังเหนือชิงฉางเฟิง
ชิงฉางเฟิงตัวสั่นเล็กน้อยขณะที่เขายกค้อนขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้นร่างกายของชิงฉางเฟิงก็เริ่มโค้งงอเรากับกําลังก้มตัว แล้วจู่ๆการเคลื่อนไหวของเขาก็รวดเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน
ในขณะที่ความแข็งแกร่งของน่าหลานเวียมีมากกว่าชิงฉางเฟิง ความเร็วของเขาก็มากกว่าเช่นกัน นั่นจึงทําให้ชิงฉางเฟิงเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ยังงงงงงงง
ชิงฉางเฟิงถูกกระบี่ฟันเข้าที่ไหล่จนกลายเป็นบาดแผลแต่โชคดีที่ไม่ลึกมาก แล้วฝ่ายตรงข้ามยังคงบุกเข้าหาชิงฉางเฟิงยังไม่หยุดหย่อน ใบหน้าของชิงฉางเฟิงยังคงสงบนิ่ง เขาไม่ได้กังวลเรื่องอาการบาดเจ็บ เขายังคงป้องกันการโจมตีต่อไปเรื่อยๆ และพยายามหาโอกาสที่จะสวนกลับเขารู้ดีว่าน่าหลานเว่ยเองก็ไม่อาจเอาชนะภายในช่วงเวลาสั้นๆได้ ซึ่งถ้ามีเวลาความหวังที่จะแปรเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะก็ยังคงอยู่
น่าหลานเว่ยจ้องมองชิงฉางเฟิง “เจ้าจะยืนดื้อด้านไปถึงเมื่อไหร่ อีกไม่นานเรื่องเจ้าก็จะไหลออกเรื่อยๆและเจ้าจะต้องยอมแพ้อยู่ดี”
“บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เจ้าดูสิ เลือดของข้ากําลังหยุดไหลแล้ว” ชิงฉางเฟิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
น่าหลานเว่ยตั้งใจทําให้ซิงฉางเฟิงสับสนด้วยวิธีการพูดคําข่มขวัญ แต่เมื่อวิธีนี้ใช้ไม่ได้คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทุ่มกําลังโจมตีเพื่อกดดันให้ชิงฉางเชิงพ่ายแพ้ และจากบาดแผลทําให้เขามั่นใจว่าตัวเองชนะชิงฉางเฟิงได้แน่ๆ
น่าหลานเว่ยเพิ่มพูนพลังอย่างฉับพลันและเข้าโจมตีเหมือนกับคลื่นพายุที่โหมกระหน่ําใส่ชิงฉางเฟิง ชิงฉางเฟิงพยายามควบคุมสติอารมณ์และเริ่มปัดป้องการโจมตีของศัตรูด้วยค้อนยักษ์ที่ประสานการเคลื่อนไหวเข้ากับร่างกายอย่างลงตัว แน่นอนว่าชิงสุ่ยที่กําลังดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ดวงตาของเขาเริ่มสดใสเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
ใครจะคาดคิดว่าเด็กน้อยคนนี้จะทําความเข้าใจในพลังได้เป็นอย่างดี ชิงสุ่ยเริ่มสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของปลายเท้าและท่าทางที่ประสานกันอย่างลงตัว และแปลกใจอย่างมากเพราะนี่คือวิธีการใช้ทุกส่วนของร่างกายเพื่อปลดปล่อยพลังโดยไม่มีพลังสูญหาย แม้ว่าการเคลื่อนไหวของค้อนจะดูเชื่องช้าแต่ชิงสุ่ยรู้ดีว่าชิงฉางเฟิงกําลังควบคุมพลังและอาศัยพลังผลักดันของศัตรูในการโจมตีกลับไปหาศัตรูเอง เพื่อให้ร่างกายของเขาเก็บออมพลังได้มาก
โดยปกติแล้ว ชิงสุ่ยการฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊ก และเมื่อเขาฝึกฝนมากขึ้นเขาจะเข้าใจถึงระดับพลังที่เรียกว่า “การใช้พลังศัตรูเพื่อตอบโต้ศัตรู”
น่าหลานเว่ยเริ่มวิตกกังวล เพราะทุกครั้งที่เขาออกแรงมากขึ้นเหตุใดชิงฉางเฟิงถึงได้สะท้อนพลังกลับมาเท่าที่เขาจนเปียกไป ชิงฉางเฟิงควรได้รับบาดเจ็บแต่ทําไมถึงแข็งแกร่งขึ้นได้?
เมื่อจิตใจวอกแวก ความผิดพลาดก็เกิดขึ้น ค้อนของชิงฉางเฟิงปะทะกับร่างของน่าหลานเว่ยเข้าอย่างจัง แน่นอนว่ารูปร่างของน่าหลานเว่ยไม่ได้แข่งแกร่งเท่าชิงฉางเพิง และเมื่อพลังที่เขาปลดปล่อยออกไปมันสะท้อนกลับเข้าหาตัวเอง น่าหลานเว่ยจึงถูกค้อนอัดปลิวออกนอกเวทีประลองทันที
ตระกูลชิงโห่ร้องอย่างมีความสุข โดยเฉพาะชิงสุ่ย ที่รับรู้ว่าชิงฉางเฟิงเข้าใจในความแข็งแกร่งและใช้พลังได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น น่าหลานเว่ยถือได้ว่าเป็นบุคคลโชคร้ายที่ต้องพ่ายแพ้ทั้งๆที่เขาควรจะเป็นฝ่ายกําชัยชนะอย่างสมบูรณ์และการประลองครั้งที่ 2 ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ ของตระกูลน่าหลานการพ่ายแพ้ทั้ง 2 ครั้งยิ่งทําให้ชายวัยกลางคนจากตระกูลนาหลานเสียหน้าอย่างมาก เขากล่าวด้วยน้ําเสียงที่ไม่พอใจว่า “เจียนเอ๋อเจ้าออกไปจัดการซะ”