Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1647 - หญิงสาวทั้ง 2 คนบรรลุสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1647 - หญิงสาวทั้ง 2 คนบรรลุสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ
บทที่ 1647 – หญิงสาวทั้ง 2 คนบรรลุสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ
กุ้งเกราะทองคําบรรพกาลมองมาที่ชิงสุ่ยและเขาก็ได้รับรู้ว่าชายผู้นี้ทรงพลังมากกว่าตนเอง เมื่อได้รับรู้ถึงพลังของชิงสุ่ยความดุร้ายของเขาก็ลดน้อยลงไป “นี่คือหนึ่งในทางเข้าของทะเลเหนือ ข้าอยู่ที่นี่เพื่อป้องกันพวกท่านไม่ควรมาอยู่แถวนี้”
ชิงสุ่ยหัวเราะและมองไปรอบรอบ “พวกเราไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปยังทะเลเหนือ เราขอพักผ่อนอยู่รอบๆที่แห่งนี้ได้หรือไม่?”
กุ้งเกราะทองคําบรรพกาลรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อยเพราะปกติแล้วด้วยพลังของเขานั้นจะให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว โดยปกติแล้วเขามักจะฆ่าผู้คนที่ผ่านเข้ามายังที่แห่งนี้เพื่อปกป้องมันเอาไว้ แต่ในวันนี้เขาไม่คาดคิดว่าจะมาพบกับชายหนุ่มผู้นี้
“เอาล่ะ เช่นนั้นแล้วพวกท่านก็อยู่ตรงนี้ได้แต่อย่านานนักล่ะ” กุ้งเกราะทองคําบรรพกาลกล่าวและเตรียมที่จะจากไป
“พี่ชาย เดี๋ยวก่อน!” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว มันไม่ง่ายนักที่จะได้พูดคุยกับผู้ที่มาจากดินแดนทะเลเหนือ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่อยากปล่อยเขาไปเช่นนี้ เขายังต้องการไปที่ทะเลเหนือเพื่อค้นหาสิ่งที่สามารถเป็นพลังให้กับเขาได้
“ยังมีอะไรอีก?” กุ้งเกราะทองคําบรรพกาลดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความปรารถนาของชิงสุ่ย เขาหันมาพูดคุยกับชิงสุยแต่พวกเขาก็ไม่ได้ดูสนิทกันมากมายนะ
“ข้ามีแก่นแท้โลหิตแห่งเทพเจ้ามังกรและหากพี่ชายได้รับมันไปท่านจะต้องกลายเป็นกุ้งมังกร เกราะทองคําบรรพกาล” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับนําเอาแก่นแท้โลหิตแห่งเทพเจ้ามังกรออกมา
กุ้งเกราะทองคําบรรพกาลมองมายังชิงสุยด้วยความสงสัยจากนั้นก็มองไปที่ขวดกระเบื้องเคลือบในมือของชิงสุ่ย แต่แก่นแท้โลหิตที่อยู่ภายในขวดนี้นั้นช่างเย้ายวนใจของเขาอย่างยิ่ง และมันยังโจมตีจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อดินแดนทะเลเหนือ ภรรยาของข้านั้นเป็นหนึ่งในนายหญิงแห่งดินแดนทะเล ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าดินแดนทะเลเหนือมันมียอดฝีมือที่ซ่อนเร้นอยู่มากมายเพียงใด เช่นนั้นแล้วข้าจะกล้ามีเจตนาร้ายได้อย่างไรกัน?” ชิงสุ่ยใช้โอกาสนี้กล่าวออกมาทันทีในขณะที่กุ้งเกราะทองคําบรรพกาลนั้นยังคงลังเล
ชิงสุ่ยไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ เมื่อนึกถึงอีเย่ เจี้ยนเก้อและมู่หยุน ชิงเฉิงรวมไปถึงพระราชวังสุริยาเขาก็รู้สึกได้ว่าตนเองต้องไปเยี่ยมเยียนดินแดนทะเลเหนืออย่างแน่นอน
“เจ้าต้องการให้ข้าทําอะไร? พูดออกมา หากข้าช่วยได้ข้าก็จะช่วย ไม่อย่างนั้นแล้วข้าก็ไม่ต้องการของเจ้าหรอก” กุ้งเกราะทองคําบรรพกาลพูดอย่างเคร่งขรึม
“ข้าแค่ชื่นชอบผู้ที่มีคุณธรรม ข้าเองก็ไม่รู้จะพูดเช่นใดดีแต่ก็ต้องบอกได้ว่าการที่ท่านมาประจําอยู่ที่ทางเข้าของแดนทะเลเหนือนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ผิดเลย” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาและพยายามที่จะประจบเขา
คําพูดเยินยอเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ตามก็อยากจะได้ยินสีหน้าของกุ้งเกราะทองคําบรรพกาลนั้น อาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปแต่จิตใจของเขานั้นเริ่มรู้สึกดีต่อชิงสุ่ย
“ข้าอยากจะเป็นสหายกับท่าน บางทีหากข้าอยากจะเข้าไปเยี่ยมเยียนดินแดนทะเลเหนือในอนาคต ข้าอาจจะถามท่านเรื่องของระดับพลังที่อยู่ภายในนั้น” ชิงสุ่ยยิ้ม
เขารู้ว่าดินแดนทะเลเหนือนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและมีทางเข้ามากมาย ดินแดนทะเลเหนือของมหาทวีปอุดรเทวาอาจจะไม่ได้ยากเย็นเหมือนกับที่อื่น ดังนั้นเขาจึงต้องถามเอาไว้
ดังที่คิดเอาไว้กุ้งเกราะทองคําบรรพกาลดูโล่งใจและตอบกลับมาว่า “ข้าเองก็อยากจะรับของๆเจ้าจริงๆ ดังนั้นหาข้าตกลงในวันนี้แล้วมันอาจจะส่งผลร้ายต่ออาจารย์ของข้า ข้าเองก็เลือกที่จะตายดีกว่า”
ชิงสุ่ยพยักหน้าอย่างจริงจังและกะว่า “ข้าดูน่ากลัวมากงั้นหรือ? ท่านต้องไว้ใจผู้อื่นบ้าง รับนี่ไปและข้าจะไม่ทําให้ท่านต้องลําบากใจ เมื่อใดก็ตามที่ท่านลําบากใจท่านปฏิเสธข้าได้เสมอ”
หลังจากที่ชิงสุ่ยกล่าวจบกุ้งเกราะทองคําบรรพกาลก็ไม่ลังเลต่อไป เขารับเอาแก่นแท้โลหิตจากชิงสุ่ยไปและกล่าวว่า “บางทีพวกเราอาจจะได้เป็นมิตรสหายกันจริงๆ”
พวกมนุษย์อสูรนั้นมีสัญชาตญาณที่ดีกว่ามนุษย์ เขารู้สึกได้ว่าชิงสุ่ยนั้นจริงใจดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเป็นมิตรสหายกับชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยกลับไปหาหญิงสาว 2 คนของเขา พวกเขาเดินทางกลับไปแต่ไม่ได้กลับทางเดิม
พวกเขามาถึงนิกายจันทรานิรันกาลในตอนก่อนเที่ยง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามารบกวนชิงสุ่ยและหญิงสาวของเขาในตอนนี้
ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะช่วยเหลือฉินชิงและถานท่าย หลิงเยียนยกระดับพลังของพวกนาง มีเพียงของเท่านั้นที่จะสามารถทําเช่นนี้ได้ แม้ว่ามันจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่มันก็ขึ้นกับโชคชะตาของพวกนั้นด้วยเช่นกัน
ชิงสุ่ยได้เข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้วในตอนนี้และหญิงสาวทั้งสองคนนั้นไม่อาจใช้วิธีเดียวกันกับเขาได้ หากเป็นเด็กตัวเล็กๆเขาอาจจะลองใช้ดู เพียงแต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่มันอาจอันตรายเกินไป หากเลวร้ายที่สุดแล้วพวกนางก็จะต้องพิการไปได้
หญิงสาวทั้งสองคนก็เข้าใจดีเพราะพลังของพวกนางในตอนนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ชิงสุ่ยเข้ามาช่วยเพิ่มพลังให้แก่พวกนางในตอนนี้
การเพิ่มพลังแก่พวกนางนั้นเป็นวิธีที่เรียบง่าย ทั้งสองฝ่ายนั่งหันหน้าเข้าหากันและจับมือกัน ชิงสุ่ยจะใช้พลังของตนเองถ่ายเทเข้าไปในร่างกายของถานท่ายหลิงเยียนเป็นคนแรก เมื่อทั้งสองคนจับมือกันความรู้สึกที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นภายในร่างกายของนาง ชิงสุ่ยนึกถึงตอนที่เขายกระดับเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์
ความรู้สึกนี้ช่างมหัศจรรย์อย่างยิ่งและถานท่าย หลิงเยียนก็มองมายังชิงสุยด้วยความประหลาดใจ นางรู้สึกชื่นชอบกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้อย่างยิ่งเพราะมันทําให้นางรู้สึกว่านางได้ว่าไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป
การดําเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เส้นลมปราณ จุดตันเถียน รวมไปถึงกระดูกให้แก่ถานท่ายหลิงเยียนได้
ความเร็วของวิธีการนี้นั้นรวดเร็วยิ่งแต่มันสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เว้นแต่จะมีผู้ที่มีร่างกายที่พิเศษจึงจะสามารถใช้ได้ 2 ครั้ง
แม้ว่าวิธีการยกระดับพลังนี้อาจจะไม่ได้ดูน่ากลัว จุดประสงค์หลักของการเพิ่มพลังนี้ก็คือการบํารุงร่างกายและการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย เหมือนกับการขยายภาชนะใช้รับพลังลมปราณให้มากยิ่งขึ้น
ความจริงแล้วชิงสุ่ยไม่ได้กังวลว่าผู้ที่อยู่ข้างกายของเขานั้นจะไม่อาจข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์พินาศไปได้ แม้ว่าจะมีผู้คนจํานวนมากที่ต้องตายไประหว่างการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์พินาศแต่ก็มีผู้ที่ประสบความสําเร็จมากมาย
ถานท่ายหลิงเยียนและฉินชิงต่างก็มีสมบัติล้ําค่ามากมายที่คอยช่วยเหลือพวกนางอยู่ ชุดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของฉันชิงนั้นก็ถือเป็นสมบัติชั้นยอด และสมบัติของถานท่ายหลิงเยียนก็สืบทอดมาจากตระกูลขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้นถานท่ายหลิงเยียนยังคล้ายคลึงกันกับฉินชิง และอีเย่ เจี้ยนเก้อ
ชิงสุ่ยเคยสงสัยว่าหญิงสาวในภาพโฉมงามนั้นต่างก็มีชุดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เลิกคิดอย่างรวดเร็ว เพราะมันเป็นไปได้ยากยิ่งนัก
ในเวลาไม่นานทัณฑ์สวรรค์พินาศของถานท่ายหลิงเยียน ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจก็ปรากฏขึ้นมา ชิงสุ่ยรีบพาหญิงสาว 2 คนพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยทักษะย่างก้าว 9เทวาของเขา
ถานท่ายหลิงเยียนนั้นอยู่ในขั้นที่ 10 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ และนับจากนี้ไป นางจะเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ อย่างไรก็ตามช่องว่างระหว่างจุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่ง ก่อนที่ชิงสุ่ยจะยกระดับเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจที่ทรงพลังมากยิ่งกว่าระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรกเริ่ม
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าพลังของถานท่ายหลิงเยียนงั้นเพิ่มขึ้นมากเพียงใด สายฟ้าปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และฟาดผ่านนางไปอย่างรวดเร็ว สายฟ้าเริ่มปรากฏมากยิ่งขึ้นและล้อมรอบบริเวณแห่งนี้ไว้
ถานท่ายหลิงเยียนถือกระบี่ยาวสีแดงเลือดของนางเอาไว้ และต่อจากนั้นสายฟ้าก็เริ่มสงบลง และหายไปในที่สุด
ชิงสุ่ยยิ้มออกมาทันทีเมื่อเขามองไปยังถานท่ายหลิงเยียนผู้ที่ดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ได้ทันทีว่านางได้เข้าสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ พลังของนางในตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 50 เต๋า
50 เต่ํานั้นก็ถือว่าทรงพลังมากแล้วเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ชิงสุยนั้นมีพลังเพียง 160 เต๋า ซึ่งเพิ่มมาเป็น 320 เต๋ก่อนที่เขาจะยกระดับขึ้น แต่ถานท่ายหลิงเยียนเพิ่งจะยกระดับขึ้นมาในตอนนี้ ดังนั้นพลังของนางจะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกมากนับจากนี้ไป
ต่อจากนั้นก็ถึงคิวของฉันชิงและมันก็เป็นไปอย่างราบรื่นด้วยเช่นกัน แต่พลังของนางนั้นอยู่ที่ 45 เต๋า น้อยกว่าถานท่ายหลิงเยียนเล็กน้อย ความต่างของพลังเพียง 1 เต๋านั้นก็ถือว่ามากและมีผล อย่างชัดเจนแน่นอน
เวลาผ่านไปราวพริบตาแล้วท้องฟ้าก็เริ่มมืดละ การเดินทางหลายหมื่นกิโลเมตรขึ้นมาบนท้องฟ้าในเวลาเพียงครู่เดียวนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทําได้ หากเป็นในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาระยะทางเช่นนี้นั้นอาจจะเกินกว่าขอบเขตของแรงโน้มถ่วงเสียอีกโลก 9 มหาทวีนั้นช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก และแรงโน้มถ่วงของมันก็มากด้วยเช่นกัน
ที่แห่งนี้หนาวเหน็บจนรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีมีดมากรีดที่ผิวหนัง หากเป็นคนธรรมดาคงต้องตายไปอย่างแน่นอน
“พวกเรากลับกันเถอะ!” ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขาจับมือของพวกนางเอาไว้ ต่อจากนั้นเขา ก็ใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวาทันทีเพื่อกลับไปยังนิกายจันทรานิรันกาล
ในตอนนี้หญิงสาวทั้งสองคนด้วยก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ เช่นเดียวกันกับอีเย่ เจี้ยนเก้อแต่พลังของพวกนางนั้นอาจจะไม่เท่ากัน อีหวง ก่หรู่นั้นอาจจะไม่ได้ มีพลังมากนักเมื่อนางได้ก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ แต่นางมีรูปแบบพยัคฆ์ที่สามารถนําพาให้นางมาถึงจุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้
ชิงสุ่ยพอใจกับพลังที่เพิ่มขึ้นของหญิงสาวทั้งสองคนของเขา พลังที่เพิ่มขึ้นของพวกนั้นในตอนนี้เป็นเพราะพรสวรรค์ของพวกนางเอง การก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นอาจจะมีพลังเพียง 10 หรือ 20 เต๋า แต่เมื่อได้ก้าวเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์พลังนั้น จะเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
หญิงสาวทั้งสองคนต่างก็มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ชิงสุ่ยเพียงแค่ช่วยเหลือนางกระตุ้นมันเท่านั้น และทําให้พวกนางได้ก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ
การเปลี่ยนแปลงของนิกายจันทรานิรันกาลนั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก ตระกูลหงได้ล่มสลายไปแล้ว และทั้งผู้อาวุโสสูงสุดชิงเฟิงและหมิงอ ต่างก็เลือกที่จะออกไปเพราะรู้สึกละอายใจที่จะอยู่ หยินเทียนพยายามยื้อให้ทั้งสองคนอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ทั้งสองคนก็ปฏิเสธและเลือกที่จะจากไป
การกระทําทุกอย่างของมนุษย์ย่อมได้รับผลตอบแทนเสมอ แต่บางครั้งความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็อาจจะสร้างตราบาปไปตลอดชีวิตก็เป็นได้
หยินเทียนไม่ได้โทษพวกเขาที่มีตระกูลหงเป็นเหมือนจุดอ่อนของตัวเอง เพราะทั้งชีวิตครอบครัวของพวกเขาก็ถูกคุกคามโดยตระกูลหง