Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1676
ตูม…
เปลวเพลิงได้ปะทุขึ้นบนฟากฟ้ามันเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับวิหคเพลิงที่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บเพียงให้อีกฝ่ายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิหคเพลิงนั้นถือได้ว่าเป็นสัตว์อสูรที่มีความสามารถในการป้องกันที่สูงแต่ถึงอย่างไร มันก็ต้องแลกมาด้วยการจู่โจมที่อ่อนแลง อย่างไรก็ตามด้วยทักษะของมันก็ยังคือว่าความสามารถในการจู่โจมของมันยังไม่แย่เกินไป
ในที่สุดผลการต่อสู้ได้สินสุดลงไปชิงสุ่ยไม่ได้ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดไปสักคนเดียว ชายชรได้ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายปลิดชีพตนเอง ในขณะที่อีกอีกสองคนที่ถูกแมงมุมเศียรมังกรและชิงสุ่ยสังหาร
เป็นอีกครั้งที่นิกายกระบี่อสูรอมตะได้สูญเสียผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งลงไปอีกครั้งหากรวมกับครั้งก่อน ในเวลานี้ถือว่าพวกเขาได้รับการสูญเสียอย่างมาก ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าแขนขวาของพวกเขาถูกทำลายจนสิ้นแล้ว
หยินชาชิงเฟิง หมิงอวี้และคนอื่นๆ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ เมื่อเห็นชิงสุ่ยกลับเขามา เฟิงซี่ได้กล่าวออกไปอย่างมีความสุข “ป้าเฟิงขอขอบคุณเจ้ามากที่ได้ช่วยเหลือเราในครั้งนี้”
ในขณะนี้เฟิงซี่มีความสุขอย่างมากๆจนเธอไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดออกมาเธอยื่นมือออกไปแล้วลูบที่ไหล่ของเขา โดยไม่พูดอะไรเลย ไม่ใช่เพียงแต่เธอเท่านั้นทุกๆคนในที่แห่งนี้ก็รู้สึกขอบคุณเขาเช่นเดียวกัน
พวกเขารู้ดีว่ามันนั้นยากที่จะพูดออกมาในสิ่งที่ชิงสุ่ยได้ช่วยพวกเขาเอาไว้ในสถานการณ์เช่นนี้การกล่าวขอบคุณนั้นไม่เพียงพอสำหรับทุกๆอย่าง ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่พวกเขาจะไม่พูดอะไรออกมา
หลิงเหยียนมองไปที่ชิงสุ่ยและยิ้มอย่างมีความสุขด้วยสายตาที่นุ่มนวล ก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ชิงสุ่ยไม่ตอบเธอเพียงแค่เดินเข้าไปกอดเธอในตอนนี้เมื่อทุกคนเห็นพวกเขา ทั้งหมดต่างรู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะกันจริงๆราวกับเป็นคู่แท้ที่สวรรค์ประทานลงมา ในตอนนี้พวกเขาได้แต่ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
”ข้าไม่เป็นอะไรสามีของเจ้ามีร่างกายที่แข็งแรงอย่างมาก” ชิงสุ่ยกระซิบข้างๆหูของเธอเบาๆ แล้วพูดพร้อมยิ้ม ไอลีนโนเวล
หลิงเหยียนนั้นอยู่กับชิงสุ่ยมานานและรู้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีความหมายบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของเขา อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเช่นนี้เธอรู้สึกมีความสุขมากที่เขาไม่เป็นอะไร จนละเลยคำพูดของเขาไป
”พวกเขาแล้วรู้ว่าเจ้าเป็นสามีของข้าไม่จำเป็นต้องเน้นย้ำเรื่องนี้อีกก็ได้” เธอกล่าวออกมา
”หากจะให้ข้าหยุดจริงๆเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านพี่สิ” ชิงสุ่ยยิ้มและพูดว่า
”หยุดพูดเดียวนี้ไม่งั้นข้าจะตีเจ้า”เธอพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
“ก็ได้ๆ แต่เจ้าต้องจูบข้าก่อนตกลงมั้ย?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวออกมาอย่างมีความสุข
”นี่ทำตัวดีๆหน่อยมีผู้คนมากมายในบริเวณนี้” เธอพูดเบา ๆ
ชิงสุ่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเมื่อได้ยินเธอกล่าวออกมา เขายิ้มออกมาและกระซิบข้างหูเธอ “ในอนาคตเมื่อเราจะมีลูกของเราเอง ข้าต้องมองเห็นภาพที่เจ้าอุ้มลูกของเราในมือ แน่นอนว่ามันจะต้องสวยงามอย่างมากแน่นอน ”
หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นก่อนที่เธอก็ผลักเขาออกมา ก่อนที่จะหันไปมองเขา ก่อนที่เดินไปที่เฟิงซี่ด้วยความเขินอาย
”เขาแกล้งเจ้าหรือมาๆแม่บุญธรรมจะปกป้องเจ้าเอง” เฟิงซี่ก่อนที่จะถามเธอ
”ท่านป้าเฟิงข้าไม่ได้แกล้งนางสักหน่อย เป็นนางที่แกล้งข้าเสียมากกว่า” ชิงสุ่ยกล่าวออกมา ด้วยรอยยิ้ม
หลังจากจบเรื่องพวกเขาก็ได้แยกย้ายอีกครั้งในการต่อสู้ครั้งนี้มันทำให้ขวัญกำลังใจของผู้คนในนิกายจันทรานิรันกาลกลับมาอีกครั้ง ในตอนนี้ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเรื่องแปลกอย่างมากแม้จะมีผู้คนมากมายรู้ว่าการต่อสู้ในก่อนหน้านี้พวกเขาอาจเป็นฝ่ายแพ้ แต่ถึงอย่างไรก็มีคนย้ายออกไปน้อยมาก 99%ก็ของคนทั้งหมดก็ยังอยู่ที่นี่
มนุษย์ต้องการความหวังเสมอหากปราศจากความหวังทุกคนก็จะจมอยู่ในความมืดมน ความหวังราวเปรียบได้ดังแสงอาทิตย์ ที่ส่องสว่างมายังโลก พวกมันเป็นโอกาสให้คนเราเริ่มต้นชีวิตต่อไป
ในตอนนี้นิกายจันทรานิรันกาลกลับมามีชีวิตชีวิตครั้งผู้คนที่มาจากนิกายกระบี่อสูรอมตะนั้นก็ได้ตายไปทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ยังไม่นิ่งนอนใจ เขารู้ว่ายังเหลือคนอีกสองสามคนในนิกายกระบี่อสูรอมตะที่เหลืออยู่ในเวลานี้
ในตอนเย็นทั้งหมดได้นั่งลงและรับประทานอาหารเย็นด้วยกันคราวนี้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับนิกายกระบี่อสูรอมตะอีกต่อไป เป็นเพราะตอนนี้ ชิงสุ่ยเป็นคนเดียวที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ ส่วนที่เหลือทั้งหมดไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำมัน เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสามารถดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเพื่อสร้างความตึงเครียด
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วชิงสุ่ยและหลิงเหยียนก็ลาไปในตอนนี้เวลานั้นมีค่าอย่างมาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต ในเวลานี้พวกเขาไม่ได้รั้งชิงสุ่ยเอาไว้เพราพวกเขารู้ดีว่าชิงสุ่ยต้องการใช้เวลาที่เหลือกับหลิงเหยียน
“เรื่องนี้ยังไม่จบ ข้าเป็นกังวลจริงๆ” หลิงเหยียนกล่าวออกมาขณะเดินตามเขาไปที่พัก
ชิงสุ่ยจับไปที่มือของเธอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า”เจ้าต้องเชื่อมั่นใจในตัวของสามีคนนี้”
“ช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยได้มั้ย มีอะไรก็เล่าออกมาได้แล้ว?” เธอพูดด้วยความโกรธ ในเวลานี้เธอไปด้วยความกังวล
“ก็ได้ชายชราคนนั้นกล่าวว่าเขามาจากสามอันดับแรกในนิกายกระบี่อสูรอมตะ และข้าก้ไม่รู้ว่าเขาเป็นอันดาบที่เท่าไร่ แต่ที่ข้ารู้เขาไม่ใช่อันดับแรกแน่นอน ดังนั้นนิกายกระบี่อสูรอมตะก็ยังคงเหลือผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งอยู่ในเวลานี้ และข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาในตอนไหน บางทีพวกเขาอาจจะไม่มาแล้วก็ได้” ชิงสุ่ยพูดทั้งอย่างที่เขาคดออกมา
“ในตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าได้รับความสูญเสียที่ใหญ่หลวงแล้ว เจ้าคิดว่าพวกเขาจะกล้าเสี่ยงอีกหรือไม่?”เธอกล่าวถามออกมา
“ข้าก็ไม่รู้บางทีพวกเขาอาจจะกลับมาในอีก 800 หรือ 1,000 ปีต่อ ก็ได้ การแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาเองก็มีครอบครัวของพวกเขา เขาอาจเห็นแกครอบครัวของพวกเขาและยอมแพ้ไปใครจะรู้?” ชิงสุ่ยยิ้มและพูดว่า
”ถ้าอย่างนั้นแล้วเราข้าคิดว่าเจ้าควรไปพักได้แล้วเพราะเราไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาไม้ไหน สิ่งที่สำคัญคือเจ้าต้องเตรียมพร้อมทุกๆเมื่อ?”
”อย่าได้กังวลไปข้าว่า พวกเขาไม่ใช่คนโง่เง่า พวกเขาคงจะมาในช่วงเร็ววันอย่างแน่นอน ที่สำคัญพวกเขาคงไม่เอาคนของพวกเขาเข้ามาเสี่ยงมาไปกว่านี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขารู้ดีว่าถ้าข้ายังอยู่มันก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะทำลายที่นี่ ” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ
”มันก็เป็นความจริงแล้วเจ้าคิดว่าเราจะได้กลับออกไปเมื่อไร?” เธอยิ้มและพูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เปลวเพลิงได้ปะทุขึ้นบนฟากฟ้ามันเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับวิหคเพลิงที่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บเพียงให้อีกฝ่ายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิหคเพลิงนั้นถือได้ว่าเป็นสัตว์อสูรที่มีความสามารถในการป้องกันที่สูงแต่ถึงอย่างไร มันก็ต้องแลกมาด้วยการจู่โจมที่อ่อนแลง อย่างไรก็ตามด้วยทักษะของมันก็ยังคือว่าความสามารถในการจู่โจมของมันยังไม่แย่เกินไป
ในที่สุดผลการต่อสู้ได้สินสุดลงไปชิงสุ่ยไม่ได้ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดไปสักคนเดียว ชายชรได้ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายปลิดชีพตนเอง ในขณะที่อีกอีกสองคนที่ถูกแมงมุมเศียรมังกรและชิงสุ่ยสังหาร
เป็นอีกครั้งที่นิกายกระบี่อสูรอมตะได้สูญเสียผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งลงไปอีกครั้งหากรวมกับครั้งก่อน ในเวลานี้ถือว่าพวกเขาได้รับการสูญเสียอย่างมาก ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าแขนขวาของพวกเขาถูกทำลายจนสิ้นแล้ว
หยินชาชิงเฟิง หมิงอวี้และคนอื่นๆ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ เมื่อเห็นชิงสุ่ยกลับเขามา เฟิงซี่ได้กล่าวออกไปอย่างมีความสุข “ป้าเฟิงขอขอบคุณเจ้ามากที่ได้ช่วยเหลือเราในครั้งนี้”
ในขณะนี้เฟิงซี่มีความสุขอย่างมากๆจนเธอไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดออกมาเธอยื่นมือออกไปแล้วลูบที่ไหล่ของเขา โดยไม่พูดอะไรเลย ไม่ใช่เพียงแต่เธอเท่านั้นทุกๆคนในที่แห่งนี้ก็รู้สึกขอบคุณเขาเช่นเดียวกัน
พวกเขารู้ดีว่ามันนั้นยากที่จะพูดออกมาในสิ่งที่ชิงสุ่ยได้ช่วยพวกเขาเอาไว้ในสถานการณ์เช่นนี้การกล่าวขอบคุณนั้นไม่เพียงพอสำหรับทุกๆอย่าง ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่พวกเขาจะไม่พูดอะไรออกมา
หลิงเหยียนมองไปที่ชิงสุ่ยและยิ้มอย่างมีความสุขด้วยสายตาที่นุ่มนวล ก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ชิงสุ่ยไม่ตอบเธอเพียงแค่เดินเข้าไปกอดเธอในตอนนี้เมื่อทุกคนเห็นพวกเขา ทั้งหมดต่างรู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะกันจริงๆราวกับเป็นคู่แท้ที่สวรรค์ประทานลงมา ในตอนนี้พวกเขาได้แต่ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
”ข้าไม่เป็นอะไรสามีของเจ้ามีร่างกายที่แข็งแรงอย่างมาก” ชิงสุ่ยกระซิบข้างๆหูของเธอเบาๆ แล้วพูดพร้อมยิ้ม ไอลีนโนเวล
หลิงเหยียนนั้นอยู่กับชิงสุ่ยมานานและรู้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีความหมายบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของเขา อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเช่นนี้เธอรู้สึกมีความสุขมากที่เขาไม่เป็นอะไร จนละเลยคำพูดของเขาไป
”พวกเขาแล้วรู้ว่าเจ้าเป็นสามีของข้าไม่จำเป็นต้องเน้นย้ำเรื่องนี้อีกก็ได้” เธอกล่าวออกมา
”หากจะให้ข้าหยุดจริงๆเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านพี่สิ” ชิงสุ่ยยิ้มและพูดว่า
”หยุดพูดเดียวนี้ไม่งั้นข้าจะตีเจ้า”เธอพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
“ก็ได้ๆ แต่เจ้าต้องจูบข้าก่อนตกลงมั้ย?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวออกมาอย่างมีความสุข
”นี่ทำตัวดีๆหน่อยมีผู้คนมากมายในบริเวณนี้” เธอพูดเบา ๆ
ชิงสุ่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเมื่อได้ยินเธอกล่าวออกมา เขายิ้มออกมาและกระซิบข้างหูเธอ “ในอนาคตเมื่อเราจะมีลูกของเราเอง ข้าต้องมองเห็นภาพที่เจ้าอุ้มลูกของเราในมือ แน่นอนว่ามันจะต้องสวยงามอย่างมากแน่นอน ”
หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นก่อนที่เธอก็ผลักเขาออกมา ก่อนที่จะหันไปมองเขา ก่อนที่เดินไปที่เฟิงซี่ด้วยความเขินอาย
”เขาแกล้งเจ้าหรือมาๆแม่บุญธรรมจะปกป้องเจ้าเอง” เฟิงซี่ก่อนที่จะถามเธอ
”ท่านป้าเฟิงข้าไม่ได้แกล้งนางสักหน่อย เป็นนางที่แกล้งข้าเสียมากกว่า” ชิงสุ่ยกล่าวออกมา ด้วยรอยยิ้ม
หลังจากจบเรื่องพวกเขาก็ได้แยกย้ายอีกครั้งในการต่อสู้ครั้งนี้มันทำให้ขวัญกำลังใจของผู้คนในนิกายจันทรานิรันกาลกลับมาอีกครั้ง ในตอนนี้ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเรื่องแปลกอย่างมากแม้จะมีผู้คนมากมายรู้ว่าการต่อสู้ในก่อนหน้านี้พวกเขาอาจเป็นฝ่ายแพ้ แต่ถึงอย่างไรก็มีคนย้ายออกไปน้อยมาก 99%ก็ของคนทั้งหมดก็ยังอยู่ที่นี่
มนุษย์ต้องการความหวังเสมอหากปราศจากความหวังทุกคนก็จะจมอยู่ในความมืดมน ความหวังราวเปรียบได้ดังแสงอาทิตย์ ที่ส่องสว่างมายังโลก พวกมันเป็นโอกาสให้คนเราเริ่มต้นชีวิตต่อไป
ในตอนนี้นิกายจันทรานิรันกาลกลับมามีชีวิตชีวิตครั้งผู้คนที่มาจากนิกายกระบี่อสูรอมตะนั้นก็ได้ตายไปทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ยังไม่นิ่งนอนใจ เขารู้ว่ายังเหลือคนอีกสองสามคนในนิกายกระบี่อสูรอมตะที่เหลืออยู่ในเวลานี้
ในตอนเย็นทั้งหมดได้นั่งลงและรับประทานอาหารเย็นด้วยกันคราวนี้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับนิกายกระบี่อสูรอมตะอีกต่อไป เป็นเพราะตอนนี้ ชิงสุ่ยเป็นคนเดียวที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ ส่วนที่เหลือทั้งหมดไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำมัน เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสามารถดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเพื่อสร้างความตึงเครียด
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วชิงสุ่ยและหลิงเหยียนก็ลาไปในตอนนี้เวลานั้นมีค่าอย่างมาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต ในเวลานี้พวกเขาไม่ได้รั้งชิงสุ่ยเอาไว้เพราพวกเขารู้ดีว่าชิงสุ่ยต้องการใช้เวลาที่เหลือกับหลิงเหยียน
“เรื่องนี้ยังไม่จบ ข้าเป็นกังวลจริงๆ” หลิงเหยียนกล่าวออกมาขณะเดินตามเขาไปที่พัก
ชิงสุ่ยจับไปที่มือของเธอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า”เจ้าต้องเชื่อมั่นใจในตัวของสามีคนนี้”
“ช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยได้มั้ย มีอะไรก็เล่าออกมาได้แล้ว?” เธอพูดด้วยความโกรธ ในเวลานี้เธอไปด้วยความกังวล
“ก็ได้ชายชราคนนั้นกล่าวว่าเขามาจากสามอันดับแรกในนิกายกระบี่อสูรอมตะ และข้าก้ไม่รู้ว่าเขาเป็นอันดาบที่เท่าไร่ แต่ที่ข้ารู้เขาไม่ใช่อันดับแรกแน่นอน ดังนั้นนิกายกระบี่อสูรอมตะก็ยังคงเหลือผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งอยู่ในเวลานี้ และข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาในตอนไหน บางทีพวกเขาอาจจะไม่มาแล้วก็ได้” ชิงสุ่ยพูดทั้งอย่างที่เขาคดออกมา
“ในตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าได้รับความสูญเสียที่ใหญ่หลวงแล้ว เจ้าคิดว่าพวกเขาจะกล้าเสี่ยงอีกหรือไม่?”เธอกล่าวถามออกมา
“ข้าก็ไม่รู้บางทีพวกเขาอาจจะกลับมาในอีก 800 หรือ 1,000 ปีต่อ ก็ได้ การแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาเองก็มีครอบครัวของพวกเขา เขาอาจเห็นแกครอบครัวของพวกเขาและยอมแพ้ไปใครจะรู้?” ชิงสุ่ยยิ้มและพูดว่า
”ถ้าอย่างนั้นแล้วเราข้าคิดว่าเจ้าควรไปพักได้แล้วเพราะเราไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาไม้ไหน สิ่งที่สำคัญคือเจ้าต้องเตรียมพร้อมทุกๆเมื่อ?”
”อย่าได้กังวลไปข้าว่า พวกเขาไม่ใช่คนโง่เง่า พวกเขาคงจะมาในช่วงเร็ววันอย่างแน่นอน ที่สำคัญพวกเขาคงไม่เอาคนของพวกเขาเข้ามาเสี่ยงมาไปกว่านี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขารู้ดีว่าถ้าข้ายังอยู่มันก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะทำลายที่นี่ ” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ
”มันก็เป็นความจริงแล้วเจ้าคิดว่าเราจะได้กลับออกไปเมื่อไร?” เธอยิ้มและพูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล