Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1844 - ไหนตอนนั้นเจ้าบอกเองว่าเจ้าไม่ชอบเผ่าพันธุ์เช่นข้า แล้วทำไมเจ้าถึงกลับมา
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1844 - ไหนตอนนั้นเจ้าบอกเองว่าเจ้าไม่ชอบเผ่าพันธุ์เช่นข้า แล้วทำไมเจ้าถึงกลับมา
AST
บทที่1844 – ไหนตอนนั้นเจ้าบอกเองว่าเจ้าไม่ชอบเผ่าพันธุ์เช่นข้า แล้วทำไมเจ้าถึงกลับมา
เฉินเจินค่อยๆฟื้นคืนสติจากนั้นก็หันมองไปยังชิงสุ่ยผู้ซึ่งยืนอยู่ห่างๆเธอยิ้มแล้วเดินขึ้นไปข้างหน้าราวกับว่ามันเป็นภาพก่อนหน้าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เธอมองเห็นผลประโยชน์ที่ได้รับมากมายวันนี้เพียงแค่เจตจํานงแห่งกระบี่ก็สามารถผลักดันพลังการต่อสู้ของเธอให้โตขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ ตอนนี้เธอมองเห็นร่องรอยแห่งความผิดพลาดและช่องว่างในช่วงเสี้ยววินาที จึงทำให้เธอสามารถเปลี่ยนแปลงมันให้มีคุณภาพที่แข็งแรงยิ่งกว่าเดิมได้ทันที
”ขอบคุณเจ้ามาก!!”เฉินเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ชิงสุ่ยส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว”คนกันเอง อย่าได้สุขภาพให้มากนักเลย”
เฉินเจินมองดูท้องฟ้ายามเช้าก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า”ไปกันเถอะ ถึงเวลาอาหารแล้ว”
ทั้งสองคนร่วมรับประทานอาหารเช้าที่แสนหรูหราแล้ววันนี้ก็เป็นวันถัดมาหลังจากทำการขับไล่กลุ่มพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร และยังเป็นวันที่เฉินเจินพัฒนาความแข็งแกร่ง อาหารในช่วงเช้าจึงจำเป็นอย่างมาก และทั้งสองคนก็ร่วมรับประทานอาหารโดยที่กินมากกว่าปกติ
”ว่าแต่เจ้าจะจากไปเมื่อไหร่?”เฉินเจินวางตะเกียบและกล่าวถาม
ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอต้องการจะถามอะไรจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อยว่า”ข้าเองก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน”
”เจ้าเลิกคิดได้แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไรล่ะ? มาเพื่อเดินทางเที่ยวเล่นอย่างนั้นหรือ ก็ไม่!!”เฉินเจินลุกขึ้นยืน ขณะเริ่มต้นเก็บจานบนโต๊ะ ………………………………….
อีก1 วันถัดมา ชิงสุ่ยกล่าวคำอำลาเฉินเจิน แน่นอนว่าเฉินเจินก็ไม่ได้กล่าวรั้งใดๆ เธอเพียงแค่ยิ้ม “เมื่อธุระของเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว อย่าลืมแวะเวียนมาบ้าง ข้าจัดเตรียมคนมาคอยดูแลเจ้าให้อย่างดี ”
ชิงสุ่ยยิ้มและพยักหน้าตลอดเวลาที่อยู่ภายในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เฉินเจินคอยดูแลการเป็นอยู่ของเขาเป็นอย่างดี ในขณะที่เขามีหน้าที่เพียงแค่ทำอาหาร ชิงสุ่ยชื่นชอบบรรยากาศสงบเงียบเช่นนี้
มานึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวของผาราชินีปีศาจดูดเลือดความคิดที่เขามีช่างแตกต่างจากเมื่อก่อนยิ่งนัก ยิ่งเข้าใกล้แทนที่จะเป็นความวุ่นวายกับรู้สึกถึงความสงบ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่อาจสกัดกั้นความคิดเกี่ยวกับจักรพรรดินีผีดูดเลือดได้เลย
ทั้งๆที่เขาและเธอเคยพบหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียวโลกนี้ช่างสร้างสรรค์อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้น่ามหัศจรรย์ยิ่ง ขณะที่เขาพยายามเข้าสู่พื้นที่เขตสีแดงซึ่งรุกเป็นฟืนเป็นไฟเหล่าปีศาจดูดเลือดต่างก็วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เมื่อพวกเธอสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังการปรากฏตัวของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยไม่ได้คิดจัดการกับพวกเธอเลยเขาได้แต่ยืนมองความวุ่นวายที่อยู่เบื้องล่าง แน่นอนว่าตัวของชิงสุ่ยตอนนี้มันจะต้องมีสัมผัสพิเศษบางอย่างเชื่อมต่อกับจักรพรรดินีผีดูดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาก้าวเข้ามาในผาราชินีปีศาจดูดเลือด เขาจึงสามารถตรวจจับพลังลึกลับที่เปรียบเสมือนเส้นทำทางให้เขาเข้าไปข้างในได้อย่างรวด
ชิงสุ่ยเข้ามาถึงภายในหุบเขาอย่างรวดเร็วบริเวณโดยรอบเงียบสงบอย่างมากแต่ก็รับรู้ได้ถึงความพิเศษของสภาพแวดล้อม นั่นก็คือสถานที่แห่งนี้ไม่มีแม้แต่รอยสีแดงเพลิง มันกลับเต็มไปด้วยสีเขียวสดงดงาม เหมือนดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง
ต้นไม้ขนาดใหญ่มากมายบางต้นคดเคี้ยวในลดเหมือนเจดีย์ขนาดใหญ่บางกิ่งก้านแตกแขนงยึดตัวกันเหมือนสะพานเดินระหว่างต้นไม้ นี่คือภูมิทัศน์สวนในฝัน อย่างกับภาพวาดที่ถูกเขียนขึ้นอย่างบรรจงวิจิตรงดงาม
ราชินีปีศาจดูดเลือด2 ตนบินทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วปีศาจดูดเลือดจะไม่แต่งกาย แต่ราชินีปีศาจดูดเลือด 2 ตนที่ออกมานี้ล้วนแต่งกายในชุดสุภาพเรียบร้อย
ทั้ง2 จ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาและสีหน้าสับสน ก่อนที่ราชินีปีศาจดูดเลือดวัยกลางคนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ่มว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ?”
”ไม่ทราบว่าจักรพรรดินีของพวกเจ้าอยู่ที่ไหนกัน?”ชิงสุ่ยตอบกลับอย่างสั้นๆ
”เจ้ากำลังตามหาข้าอยู่อย่างนั้นรึ?”
เสียงที่ดูแหบห้าวแต่กลับเต็มไปด้วยความไพเราะดังขึ้นอย่างช้าๆ
ราชินีปีศาจดูดเลือดทั้ง2 ตัวบนโค้งคำนับและถอยหลังจากไปในทันที ทางด้านชิงสุ่ยพยายามหันมองเพื่อหาต้นกำเนิดของเสียง หญิงสาวผู้นี้ยังคงสวมชุดสีแดงเพลิงโลหิต
ผมสีดำสนิทใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ก็ดูลึกลับ องค์ประกอบโดยรวมยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์โดยเฉพาะจมูกสีขาวหยก และปากที่ดูเย้ายวน
ที่สำคัญเธอยังคงมีลักษณะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพียงแต่บริเวณหน้าท้องปูดโปนเพียงแค่เล็กน้อย
แม้คำพูดของเธอจะดูเย็นชาแต่ชิงสุ่ยก็สามารถตรวจจับความผันแปรในอารมณ์จากคำพูดเหล่านั้นได้เขามั่นใจว่าเธอย่อมรู้ดีว่าเขามาทำไม
ชิงสุ่ยคิดไปต่างๆนานาในใจของเขาเต็มไปด้วยความไม่สงบสุข และไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้
”ข้ามาเพื่อ……”
จักรพรรดินีผีดูดเลือดไม่ได้พูดอะไรต่อเธอจ้องมองชิงสุ่ยอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะยิ้ม”แม้ว่าเด็กคนนี้จะมาจากตัวเจ้า แต่นางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเจ้า เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”
ชิงสุ่ยจ้องมองรอยยิ้มที่เหมือนประกายแสงแห่งดวงอาทิตย์เขารับรู้ถึงคำตำหนิที่แฝงอยู่ในคำพูดของเธอ
”ข้ารู้แต่ที่ข้ากลับมาเพราะข้าสำนึกถึงผลบางอย่าง”ชิงสุ่ยคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว
”แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใดกัน?”จักรพรรดินีผีดูดเลือดถามย้ำอีกครั้ง
เธอยังคงตั้งคำถามเดิมมันคือคำถามที่ยิงตรงไปสู่คำตอบ แม้ว่าชิงสุ่ยต้องการหลบคำถามนี้มันก็คงหลบไม่ได้
”ข้าอยากเห็นหน้าของนาง”ชิงสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงบางเบา
คำพูดเหล่านี้ทำให้ร่างกายและจิตใจของเธอสั่นไหวมันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่เธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกเกลียดชังใดๆ
เธอไม่เคยเกลียดผู้ชายคนนี้แต่ก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับเขาเกินไป เธอไม่ได้รู้สึกว่าเธอตกหลุมรักชายผู้นี้เลย แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อมีชายผู้นี้อยู่ข้างๆ เธอจะรู้สึกสบายใจมากกว่าที่เป็นอยู่
”ไหนตอนนั้นเจ้าบอกเองว่าเจ้าไม่ชอบเผ่าพันธุ์เช่นข้าแล้วทำไมเจ้าถึงอยากมาเจอหน้านางด้วยละ?”จักรพรรดินีผีดูดเลือดกล่าวถามกลับแม้ในใจลึกๆของเธอจะรู้ดีว่าที่เขากลับมาก็เพราะมาเพื่อจะดูหน้าลูกในท้องของเธอ