Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1941 - ชิงสุ่ยกำลังถูกดึงเข้าสู่ใจกลางพายุ
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1941 - ชิงสุ่ยกำลังถูกดึงเข้าสู่ใจกลางพายุ
แม้ว่าชิงสุ่ยแต่ยังเป็นเด็กแต่เขาก็ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนผนวกกับทักษะเบิกเนตรสวรรค์วันที่ทำให้เขามองเห็นกันโจมตีของศัตรูได้อย่างง่ายดายราวกับภาพการเคลื่อนที่ของเชื่องช้า มันทำให้เขาแทบไม่ต้องขยับเขยื้อนหลบหลีกอะไรเป็นพิเศษ
อันดับแรกเขาก็แค่โจมตีศัตรูโดยอาศัยเพียงแค่กำลังจากนั้นก็โจมตีต่อเนื่องเพื่อให้ศัตรูต้องเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายตั้งรับ และเริ่มทำให้พลังปราณรากฐานของศัตรูไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ เมื่อเป้าหมายเสียสมดุล ทุกอย่างก็จะพังพินาศโดยไม่จำเป็นต้องใช้แรง
ชิงสุ่ยสามารถโจมตีได้อย่างแม่นยำแต่ถึงมีทักษะเบิกเนตรสวรรค์ ทุกอย่างก็ไม่ได้ดูง่ายเลย ท้ายที่สุดแล้วผู้นำหมาป่าอมตะก็ไม่ได้อ่อนแอเลย เขาแข็งแกร่งเกือบจะเทียบเท่ากับองค์จักรพรรดิคลั่งแต่อ่อนแอกว่าเพียงเล็กน้อย
ในตอนนี้ผู้นำหมาป่าอมตะต้องใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อปกป้องร่างกายจนกระทั่งพลังของตัวเองเริ่มร่อยหรอหลังจากต่อสู้กันมาได้ประมาณ 1 ชั่วยาม ผู้นำหมาป่าอมตะก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของชิงสุ่ยได้อีกต่อไป เขาถูกต่อยอย่างจัง จนเลือดที่มุมปากเริ่มปรากฏ
”เจ้าพ่ายแพ้แล้ว!!”ชิงสุ่ยหยุดการโจมตีเขาไม่ต้องการสังหารใครโดยไม่จำเป็น ตราบใดที่คนคนนั้นยังไม่ได้ทำอะไรขัดกับหลักการของเขา เขาก็จะไม่ฆ่าใครทั้งสิ้น แล้วที่สำคัญเขาเองก็เป็นถึง เมตตามหาจักรวรรดิที่ทำหน้าที่รักษาผู้คน การฆ่าคนต่อหน้าผู้อื่น มันยิ่งทำให้ภาพพจน์ของเขาดูเลวร้าย
ผู้นำหมาป่าอมตะได้แต่ยืนนิ่งตกตะลึงเขาทำได้แค่ป้องกันไม่มีโอกาสแม้แต่จะโจมตีกลับ ทุกการป้องกันของเขามันต้องใช้พลังมหาศาล นั่นก็หมายความว่าศัตรูโจมตีมาด้วยพลังที่รุนแรงมาก แขนทั้งสองข้างของเขาจึงระบ่มและทรมานเหมือนกระดูกถูกหักเป็นร้อยครั้งพันครั้ง
ผู้นำหมาป่าอมตะไม่ใช่ซือกงฟ่านที่ไม่ยอมรับความจริง เขาแสดงท่าทางเคารพและยอมรับความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ จากนั้นก็เดินถอยหลังกลับไปที่มุม แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินจากไป
”อสุรกายที่พบได้เพียงแค่จันทราสีครามข้าสงสัยเหลือเกินว่าใครเป็นคนสั่งสอนอสูรกายตัวนี้ ข้าไม่อาจหาคำอธิบายมาตอบได้เลยจริงๆ”ผู้นำหมาป่าอมตะกล่าวสั้นๆ
จากนั้นเขาก็เดินลงจากลานราชกิจสวรรค์โค้งคำนับให้กับบรรพบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลเซี่ย “ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าท่านจะได้รับชัยชนะแล้ว”
ชิงสุ่ยตกใจเล็กน้อยเขาไม่คิดเลยว่าอาจารย์ของผู้นำหมาป่าอมตะจะไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นบรรพบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลเซี่ย มันช่างน่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่อาจารย์และศิษย์ มันมีความต่างกันสุดขั้ว
…………………
…………..
ซือกงฟ่านรู้สึกดีขึ้นมาอีกเล็กน้อยเพราะในเมื่อผู้นำหมาป่าอมตะเองก็เอาชนะไม่ได้ เขาจึงอาศัยความพ่ายแพ้ของผู้ที่เก่งกว่ามาเป็นตัวบรรเทาความรู้สึกอับอายให้ลดลง
แต่ถึงจะไม่หดหู่อีกต่อไปเขาก็ยังคงมองชิงสุ่ยด้วยสายตาของความอิจฉา เขากำลังมองดูความต่างชั้นของตัวของเขา และชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
บรรพบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลเซี่ยยิ้มอย่างมีความสุข เด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าที่คนที่เขาคาดหวัง ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
จากนั้นอีกไม่นานชายชราก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับสัมผัสมือปรากฏให้เห็นเป็น บัลลังก์อาจารย์ จักรพรรดิมาตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางลานราชกิจสวรรค์ “ถึงเวลาที่เราจะต้องเริ่มพิธีการได้แล้ว!!”
บรรพบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลเซี่ยประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่าองค์ชายสิบสามคือลูกศิษย์ของชิงสุ่ยนั่นก็หมายความว่าชายคนนี้ก็จะกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญ และเป็นคนที่ช่วยเสริมสร้างอนาคตให้ตระกูลเซี่ย ตลอดไปถึงมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์
พิธียกย่องครูบาอาจารย์!!
งานในขั้นตอนนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วสิ่งที่ทุกคนกำลังมองดูอยู่คือการที่องค์ชายสิบสามทำความเคารพครูอาจารย์ของเขา แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าขึ้นมาขัด หรือกล้าพยายามทดสอบเด็กหนุ่มคนนี้อีกแล้ว
ชิงสุ่ยจิบชาที่องค์ชายสิบสามมอบให้เขาจากนั้นเขาก็พยายามพยุงตัวองค์ชายสิบสามให้ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า ” ตอนนี้ และอนาคตเป็นต้นไป เจ้าคือศิษย์อาวุโสสูงสุดของข้า”
ฝูงชนยังคงนั่งดูด้วยความเงียบไม่มีใครกล้าขยับหรือส่งเสียงท้าทายใ สายตาขององค์ชายสิบสามเป็นไปด้วยความชื่นชมวันนี้เขาได้เห็นพลังอาจารย์ของเขาเป็นขวัญตา อาจารย์ของเขาคือผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ชายหนุ่มที่สามารถเอาชนะผู้นำหมาป่าอมตะได้โดยที่ผู้นำหมาป่าอมตะไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย ชายคนนี้ดีเกินกว่าจะเป็นอาจารย์ของเขาเสียอีก
หลังจากพิธีเสร็จสิ้นบรรพบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลเซี่ยก็มองดูรอบๆและกล่าวว่า “เมื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์เสร็จสิ้น ข้ายังมีเรื่องที่จะต้องประกาศอีก 1 เรื่อง หวังว่าทุกคนจะยอมรับมัน”
ผู้คนที่มาเฝ้าดูพิธีการต่างรู้อยู่แล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
”ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปองค์ชายสิบสามจะขึ้นครองบัลลังก์องค์จักรพรรดิสูงสุดแห่งมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์” บรรพบุรุษอาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาบาง แต่ก็ดังชัดเจน หนักแน่นกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง
เหตุการณ์ยังคงเงียบสงัดบรรพบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลเซี่ยก็หยิบเอาแหวนออกมา มันคือแหวนมังกรหลวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ และมันก็เป็นมรดกรวมไปถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
แหวนมังกรหลวงจะยอมรับเจ้าของโดยอาศัยสายเลือดมันจึงทำให้ผู้ที่ครอบครองแหวนวงนี้ได้จะต้องเป็นคนของตระกูลเซี่ย มันคือกลอุบายชนิดหนึ่งที่องค์จักรพรรดิคนแรกใช้เพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้เข้าถึงตำแหน่ง แล้วมันจะต้องวนเวียนอยู่ภายในตระกูลเซี่ย ขอให้ตระกูลอื่นชิงมันไปก็ไร้ประโยชน์
”ท่านบรรพบุรุษอาวุโส”เสียงของใครบางคนดังขึ้น
เจ้าของเสียงก็คือองค์ชายน้อยเขาลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับแก่ท่านบรรพบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลเซี่ย
”เจ้าไม่ยอมรับอย่างนั้นหรือ”บรรพบุรุษอาวุโสรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น
”ทำไมหลานชายคนนี้ถึงไม่ใช่ผู้ที่คู่ควรขึ้นครองบัลลังก์ พี่สิบสามมีสิ่งใดที่ข้าไม่มีทำไมพวกเราถึงไม่มีโอกาสได้แข่งขันกันเลย?”องค์ชายน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
”เจ้าอยากจะแข่งขันในเรื่องอะไรล่ะ?”บรรพบุรุษอาวุโสกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
ในฐานะที่เขาเป็นบรรพบุรุษอาวุโสเขาค่อนข้างมีความสุขที่ได้เห็นเด็กรุ่นราวพยายามแข่งขันกันเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่ง แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าหากคนอื่นได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิ มหาจักรวรรดิแห่งนี้จะต้องถูกสับเปลี่ยนมือ หรือไม่ก็นำจักรวรรดิเข้าสู่ความตาย และมหาจักรวรรดิแห่งนี้จะเปลี่ยนชะตากรรมได้ก็ต่อเมื่อมหาจักรวรรดิอาศัยโชคชะตาขององค์ชายสิบสามที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะชิงสุ่ย
”ท่านบรรพบุรุษอาวุโสพี่สิบสามไม่มีทางรักษาตำแหน่งองค์จักรพรรดิได้ยืนยาวแน่ นั่นก็หมายความว่าท่านกำลังฝากฝังเขาไว้กับคุณชายชิง!!”องค์ชายน้อยเข้าใจแผนการทั้งหมดอย่างชัดเจน
”ถูกต้องแล้วล่ะคุณชายชิงจะเป็นคนรับรองความปลอดภัยให้กับองค์จักรพรรดิคนใหม่!!”
”แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมีคนเอาชนะคุณชายชิงได้”องค์ชายน้อยกล่าวต่อ
”บุคคลที่แข็งแกร่งอาจจะมีอิทธิพลมากมายแต่สำหรับคุณชายชิง ข้าเชื่อว่าทั้งกำลังและความสามารถที่เป็นนักปราชญ์ของเหล่าหมอ จะยิ่งทำให้เขามีอิทธิพลมากกว่าทุกๆคน” บรรพบุรุษอาวุโสกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
”ตาเฒ่าเซี่ยดูเหมือนเจ้าจะฝากฝังความหวังไว้กับเด็กคนนี้มากเกินไป สงสัยข้าเองก็คงต้องลองเสี่ยงโชคดูบ้าง”เสียงที่ดังอึกทึกแต่ก็หนักแน่นแฝงไปด้วยพลัง
��