Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1987 – อีกหนึ่งอัจฉริยะตระกูลหลางผู้ที่สูญเสียจิตใจ
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1987 – อีกหนึ่งอัจฉริยะตระกูลหลางผู้ที่สูญเสียจิตใจ
ในวันที่ 3 นั้น การรักษากำลังจะจบลง กลุ่มคนประมาณ 60 คนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราโดยมีผู้นำเป็นชายหนุ่มรูปร่างอ่อนเยาว์ ก็ได้ยืนมองชิงสุ่ยอยู่ไม่ห่างไกลจากหอคอยจักรพรรดิ
“ดูเหมือนเจ้าเด็กเหลือขอนั่น คือหนึ่งในคนที่ทำให้อัจฉริยะผู้นำตระกูลของเราพ่ายแพ้ ลงเอยด้วยการจำยอมมอบคฤหาสน์หลังนั้นให้กับเขา!!”ชายหนุ่มยิ้มอย่างซุกซนบนใบหน้า
ชิงสุ่ยหันหน้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้ยินบทสนทนาดังกล่าวแม้จะอยู่ห่างไกลก็ตาม และยืนยันได้ทันทีว่าคนกลุ่มนี้จะต้องมาจากตระกูลหลาง ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจุดประสงค์การมาเยี่ยมของพวกเขา แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ คนนั้นพูด ชิงสุ่ยก็พอจะจินตนาการได้ว่าคนกลุ่มนี้คงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำตระกูลหลาง
ในขณะที่ชิงสุ่ยชายตามองไปยังคนกลุ่มนี้ พวกเขาก็รู้สึกได้เลยว่าชิงสุ่ยกำลังมองพวกเขากลับมา และเมื่อชิงสุ่ยยิ้ม คนทั้งกลุ่มก็รู้สึกประหลาดใจ
เมื่อคนไข้กลุ่มแรกออกจากหอคอยจักรพรรดิ คนกลุ่มนั้นบางส่วนก็ได้ผลักคนไข้ที่เพิ่งเดินออกมา ซึ่งชิงสุ่ยก็ได้แต่มองดูโดยไม่สนใจและไม่คิดจะหยุดพวกเขา เขาไม่อยากให้ข้าความสำคัญกับคนโง่เหล่านี้
“คุณหมอ!! ข้าอยากให้ท่านวินิจฉัยอาการบาดเจ็บให้ข้าด้วย!!”ชายหนุ่มนั่งลงตรงหน้าชิงสุ่ย
“อืม ดูเหมือนว่าท่านจะเจ็บป่วยมาก”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
“ได้โปรดวินิจฉัยโรคของข้าด้วยเถอะ”ชายหนุ่มวางมือลงบนโต๊ะชิงสุ่ย และในบางครั้งเขาก็ชำเลืองมองชิงซี ซึ่งชิงสุ่ยก็มองเห็นอะไรบางอย่างจากสายตาชายหนุ่ม “การรักษาไร้ค่าใช้จ่ายสิ้นสุดลงแล้ว!!”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร ข้ารวย ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็มีเงินเพียงพอจะจ่ายค่าวินิจฉัยของท่าน”ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางไม่แยแส
“โอ้ สงสัยข้าลืมบอกท่านไป จริงๆแล้วที่นี่มีเงินเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจรักษาได้”ชิงสุ่ยส่ายหน้าและมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านได้รักษาคนเพื่อหาเงินอย่างนั้นหรือ?”ชายหนุ่มเริ่มกล่าวด้วยท่าทางสับสน
“ใครเป็นคนสร้างกฏเรื่องนี้ล่ะ ข้าต้องรักษาคนเพื่อหาเงินอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่ได้ขาดแคลนเงินเลย เชิญท่านออกไปเถอะ ข้าไม่อยากจะรักษาท่าน”ชิงสุ่ยโบกมือ
” ในเมื่อท่านดำเนินการค้า ท่านก็ไม่ควรผลักไสลูกค้าออกจากร้าน หรือว่าท่านดูถูกเหยียดหยามนายน้อยจากตระกูลหลาง?”ชายหนุ่มมองหน้าชิงสุ่ยด้วยสายตาที่ดูย่ำแย่มาก “ฮ่าฮ่าฮ่า นายน้อยหลาง? ชื่อเสียงมีไว้กดขี่คนอื่นอย่างนั้นหรือ? ช่วยบอกเหตุผลดีๆว่าทำไมข้าถึงต้องปฏิบัติต่อท่านให้ดูสูงกว่าคนอื่นหน่อยเถิด”ชิงสุ่ยยิ้ม ทุกครั้งที่ชิงสุ่ยเผชิญหน้ากับคนที่ชอบทำตัวสูงส่ง เขาอยากจะตบหน้าสั่งสอน คนพวกนี้อธิบายด้วยคำอื่นไม่ได้เลยยกเว้นคำว่าโง่เง่า
เขากล้าแสดงกิริยาเช่นนี้แม้ว่าผู้นำตระกูลหลางอย่าเพิ่งพ่ายแพ้ไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายคนนี้จะมีพลังมากกว่าผู้นำตระกูลของเขา?
“เอาล่ะ ข้าสรรเสริญความกล้าหาญของท่าน ท่านกล้าตบหน้าผู้นำตระกูลหลางท่ามกลางเมืองของเขาเอง ตอนนี้ข้าให้โอกาสท่านคืนคฤหาสน์หลังนี้แก่ข้าและรีบไสหัวออกไป!!”ชายหนุ่มจ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตากดขี่
ในขณะเดียวกันชิงสุ่ยก็ดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเหมือนดูสิ่งบันเทิง เขาไม่ใส่ใจคำพูดของคนโง่ อย่างไรก็ตามเขาเองก็รู้ดีว่าคนที่มาในวันนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา แม้แต่เด็กเหลือขอที่อยู่ด้านหน้าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นยอดยุทธ ดังนั้นชิงสุ่ยจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าก็คงเป็นหนึ่งในผู้ที่แย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล เพียงแต่เขาไม่มีความสามารถพอจะบรรลุเป้าหมายนั้น
ชิงสุ่ยเริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาทำ ถ้าหากตำแหน่งผู้นำยังคงไม่สั่นคลอน พวกเขาก็คงจะสู้กันเอง และไม่จำเป็นต้องมามีปัญหาอะไรกับตัวของเขาเองเลยด้วยซ้ำ เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขากำลังจะใช้กำลังเพื่อแสดงความแข็งแกร่งให้เห็นว่าพวกเขามีศักยภาพพอจะเป็นผู้นำเพียงเพราะสามารถแย่งชิงคฤหาสน์ที่ผู้นำตระกูลหลางพ7jงจะสูญเสียไป? คนแบบนี้มักจะไม่ใช่สมองคิดและชอบทำทุกสิ่งอย่างที่ทำให้คนอื่นตกอยู่ในความเสี่ยง พวกเขาจึงเป็นคนแบบที่ชิงสุ่ยชิงชังมากที่สุด
“เฮ้อ ท่านคิดว่าการทำตัวเหมือนเด็กเหลือขอเช่นนี้จะทำให้พวกท่านกลายเป็นอัจฉริยะเหนือผู้อื่น? ท่านคงมีความสุขมากกับการที่สามารถผันแปรพลังแบบฉับพลันได้อย่างนั้นหรือ? มีใครเคยบอกทุกท่านหรือไม่ว่าถ้าหากพวกท่านตายในวันนี้ทุกอย่างจะไร้ความหมาย? ด้วยวิธีนี้ทุกท่านอาจจะไม่สามารถพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าพวกท่านนั้นเป็นอัจฉริยะ แล้วถ้าหากวันนี้ข้าทำให้ท่านกลายเป็นคนพิการ ท่านเคยคิดถึงผลที่ตามมาด้วยหรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
นายน้อยหนุ่มร่างกายสั่นเครือ ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับพลังที่แท้จริงของเขาแม้แต่คนในตระกูลก็ตาม เนื่องจากทักษะวรยุทธของเขาทำให้เขาสามารถซ่อนเร้นความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าชิงสุ่ยมีทักษะเบิกเนตรสวรรค์ แต่อันที่จริงแล้วชิงสุ่ยก็เห็นมันโดยบังเอิญ
เด็กน้อยเหลือขอมองเห็นประกายความหวังหลังจากผู้นำตระกูลหลางพ่ายแพ้และถูกแย่งชิงพฤหัสบดี เขาอาศัยช่องว่างจากความอับอายเพื่อดึงเอาผู้นำคนปัจจุบันลงจากตำแหน่ง
แต่เมื่อถึงตอนนี้ เขาได้ตระหนักแล้วว่าสิ่งที่เขาคิดมันไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป คนที่สามารถเอาชนะผู้นำตระกูลหลางเป็นคนที่เต็มไปด้วยความลับ ถ้าหากศัตรูสามารถมองเห็นความสามารถของเขาได้ภายในการมองแค่แว๊บเดียว ความสามารถของคนผู้นั้นจะต้องไม่น้อย เขาเริ่มรู้สึกลังเล เขาเองก็ยังไม่อยากตายจนกว่าคนทั้งโลกจะจดจำชื่อเสียงของเขาได้
สายตาที่ชิงสุ่ยมองกลับมามันเป็นสายตาที่เขาเหมือนถูกจับจ้องมาตลอดชีวิต ยิ่งเขาสบตาเขาก็รู้สึกสูญเสียความเป็นส่วนตัว
“ท่านสูญเสียจิตใจแห่งนักรบไปแล้ว ในชีวิตของท่าน ท่านรู้ดีว่าอะไรทำให้ท่านพึงพอใจและมีความสุข มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลยที่คนมีอำนาจจะเป็นคนรวย ถ้าหากท่านยังทำตัวเหมือนตั๊กแตนกระโดดไปมา พอสิ้นฤดูใบไม้ร่วง ท่านก็คงจะหมดแรง ข้ายังไม่อยากจะฆ่าท่าน แต่ถ้าเป็นในอดีต ท่านคงตายไปนานแล้ว”
ใบหน้าของนายน้อยหนุ่มหลางไม่ต่างจากเถ้าถ่านที่แห้งโรยล่า เขารู้ว่าชิงสุ่ยกล่าวถูกต้อง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะหยุดชะงักอยู่ที่เดิมมานานกว่า 3 ปี เขาขาดกำแพงในการก้าวข้าม เว้นเสียแต่เขาจะได้เจอความหวัง นั่นก็คือการเอาชนะคนที่อยู่ตรงหน้า
วิธีการเอาชนะคนข้างหน้าคือวิธีการที่สะดวกและสร้างความหวังให้กับเขาได้มากที่สุด ถ้าหากเขาชนะชิงสุ่ยได้ ทุกอย่างที่เขาต้องการก็จะเป็นจริง ด้วยวิธีนี้เขาจะกลับมามีอำนาจและฟื้นคืนชีพใจแห่งนักรบที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกคนที่ขวางทาง
ในไม่ช้า ความตั้งใจที่จะต่อสู้ก็ปรากฏขึ้นขณะที่เขาจ้องมองชิงสุ่ย “ข้าขอท้าประลองกับท่าน”
เมื่อสภาวะจิตใจของคนเราเหมือนถูกผูกมัดกับอะไรสักอย่าง วิธีการที่จะฟันฝ่าอุปสรรคนี้ได้คือการเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่มนุษย์ล้วนมีความภาคภูมิใจเป็นของตนเองการจะเอาชนะอีกคนนึงเพื่อยกยอตัวเองนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
“การประลองชี้เป็นชี้ตาย ระหว่างเราสองคน จะต้องมีคนเหลือรอดเพียงแค่คนเดียว ท่านจะยอมรับเงื่อนไขการประลองครั้งนี้หรือไม่?”เถิงชิงซานยิ้มขณะกล่าวถาม คำพูดของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม และความมั่นใจเต็มเปี่ยม
นายหนุ่มหลางตัวสั่นเครือ เขาสูญเสียความมุ่งมั่นความกระหายต่อสู้ไปกว่าครึ่ง ความรู้สึกของเขาเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังจะกลายเป็นสีเทา ความสูญเสีย ความพ่ายแพ้ประถมเข้าสู่จิตใจ และเริ่มทำให้เขาวิตกกังวลว่าเขากำลังจะสูญเสียทุกอย่าง