Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1991 – ขอทาน
บทที่ 1991 – ขอทาน
ชิงสุ่ยจ้องมองชิงซีพร้อมกับรอยยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าถือเป็นญาติคนหนึ่งของข้า และเจ้าเองก็เป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าจึงมองเจ้าและดูแลเจ้าไม่ต่างอะไรจากลูกสาวของข้า สักวันหนึ่งข้าจะพาเจ้าไปเจอกับครอบครัวที่แสนอบอุ่นของข้า ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะต้องมีความสุข”
ชิงซีพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น หลายปีที่ผ่านมาเธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว เหตุผลที่เธอต้องเป็นเช่นนั้นเพราะไม่มีใครกล้าช่วยเหลือเธอ เธอไม่ได้รู้สึกเกลียดตระกูลหลาง แต่เธอเกลียดโชคชะตา และเกลียดสิ่งที่เธอต้องเผชิญเมื่อหลายปีก่อน
“พี่ใหญ่ ท่านคงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาของท่านเองแล้ว ทันทีที่ข้ามาถึงที่นี่ ข้าก็สร้างศัตรูขึ้นโดยไม่รู้ตัว”ชิงสุ่ยกล่าวกับองค์จักรพรรดิคลั่ง
“มีคำกล่าวบอกเอาไว้เสมอว่าคนธรรมดา
ชิงสุ่ยจ้องมองชิงซีพร้อมกับรอยยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าถือเป็นญาติคนหนึ่งของข้า และเจ้าเองก็เป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าจึงมองเจ้าและดูแลเจ้าไม่ต่างอะไรจากลูกสาวของข้า สักวันหนึ่งข้าจะพาเจ้าไปเจอกับครอบครัวที่แสนอบอุ่นของข้า ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะต้องมีความสุข”
ชิงซีพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น หลายปีที่ผ่านมาเธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว เหตุผลที่เธอต้องเป็นเช่นนั้นเพราะไม่มีใครกล้าช่วยเหลือเธอ เธอไม่ได้รู้สึกเกลียดตระกูลหลาง แต่เธอเกลียดโชคชะตา และเกลียดสิ่งที่เธอต้องเผชิญเมื่อหลายปีก่อน
“พี่ใหญ่ ท่านคงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาของท่านเองแล้ว ทันทีที่ข้ามาถึงที่นี่ ข้าก็สร้างศัตรูขึ้นโดยไม่รู้ตัว”ชิงสุ่ยกล่าวกับองค์จักรพรรดิคลั่ง
“มีคำกล่าวบอกเอาไว้เสมอว่าคนธรรมดาเท่านั้นที่จะไม่อิจฉาผู้อื่น สิ่งที่เจ้าเจอคือเรื่องธรรมชาติ ในเมื่อเจ้าโดดเด่น จะช้าหรือเร็ว เจ้าจะต้องเจอกับศัตรู แต่หลังจากนี้อีกไม่ช้า คนเหล่านั้นคงไม่กล้าเป็นศัตรูกับเจ้าแล้ว”องค์จักรพรรดิคลั่งแทบไม่ให้ค่า กับคนที่ชิงสุ่ยเจอ
“พี่ใหญ่ ท่านไม่คิดว่าท่านประเมินค่าสูงไปหน่อยเหรอ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ประเมินต่ำไปด้วยซ้ำ และข้าก็เชื่อว่าสิ่งที่ข้าคิดมันถูกต้อง”องค์จักรพรรดิคลั่งพูดพลางหัวเราะพลาง
……………..
ในวันถัดมา ชิงสุ่ยสอนทักษะชิงซีรักษาห่วงวิญญาณ และด้วยความสามารถพรสวรรค์ในการเรียนรู้มันทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากหยวนซูก็มาเป็นชิงซี ในแง่ความสามารถทั้งสองคนยังคงมีความแตกต่าง แต่ก็ถือว่าทั้งสองคนเป็นคนที่มีความสามารถสูง แล้วเป็นคนที่เหมาะสมสำหรับขอคอจักรพรรดิ โดยธรรมชาติ ชิงสุ่ยมักจะเดินไปในทางสายการรักษา เขาอยากจะส่งต่อชื่อของหอคอยจักรพรรดิให้คนทั้งโลกได้รับรู้ อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่บนโลกเก้ามหาทวีป การกระจายชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เพราะบนโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งที่ได้รับความนิยมทั่วทั้งโลก แม้แต่กลุ่มทรงพลังหรือกลุ่มทรงอำนาจ ก็ยังกระจายชื่อเสียงได้เพียงแค่แผ่นดินของตนเองเท่านั้น เมื่อพวกเขาออกจากพื้นที่ของตน พวกเขาจะต้องเริ่มต้นการสร้างชื่อเสียงใหม่ทั้งหมด แม้ว่ามันจะไม่ได้ยากลำบากเหมือนคนอื่น แต่เมื่อออกจากพื้นที่ย่อมมีศัตรู ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะไม่ขยายอาณาเขตออกจากดินแดนของตน
เสือลายมังกรซ่อนเร้นอยู่ทั่วทั้งโลก สิ่งหนึ่งที่ทุกๆคนพึ่งรู้คือทุกพื้นที่ย่อมมีพื้นเพที่น่ากลัว ทุกคนล้วนสามารถยืนหยัดอยู่ในพื้นที่ของตนเองได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแทรกแซง
ทั้งตระกูลฉางและตระกูลหลางก็คือตัวอย่างขุมพลังทรงอำนาจที่ครอบครองพื้นที่ตกทอดมาเป็นเวลายาวนาน พวกเขามีหลักการในการดำเนินชีวิตของตน ดังนั้นชิงสุ่ยยังไม่คิดจะกำจัดพวกเขา ในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น และฝั่งศัตรูเองก็ไม่สามารถกำจัดเขาได้ เขาจึงไม่กังวลในปัญหานี้
……………
เนื่องจากช่วงนี้ไม่มีอะไรทำ ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจออกไปสูดอากาศข้างนอกและเดินชมเมืองฉาง ตลอด 1 สัปดาห์ที่เขามาที่นี่ นี่คงเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เดินเที่ยวชมเมือง เขาใช้เวลาทุกวินาทีสังเกตทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว
ชิงสุ่ยมักจะกังวลเกี่ยวกับขุมพลังที่เขากำลังจะสร้าง ความแข็งแกร่งแบบไหนที่เหมาะสมสำหรับขุมกำลังนี้?
เขาต้องการคนซื่อสัตย์และผู้ที่มีความสามารถในการทำตามที่เขาสั่งสอน มันไม่ง่ายเลยที่จะตามหาคนที่มีลักษณะทั้งสองอย่าง “นายน้อย ช่วยแบ่งอาหารให้ข้าสักหน่อยเถิด”
ในขณะเดียวกันนั้น ชิงสุ่ยก็มองเห็นเด็กผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าขี้ริ้วยืนอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตเด็กหนุ่มอยู่สักพักใหญ่ มันช่างคล้ายคลึงกับเขาเมื่อในอดีต แต่สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกใจคือร่างกายของเด็กหนุ่ม แม้จะไม่ใช่ร่างกายของมนุษย์ที่ได้รับพรสวรรค์จากพระเจ้า แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าเด็กทั่วไป
แม้แต่เมืองใหญ่ที่แสนร่ำรวยก็ยังมีขอทาน ใบหน้าของเด็กน้อยยังคงขาดเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ดวงตาของเขาดูสดใสและแข็งแกร่ง
ระหว่างที่ชิงสุ่ยกำลังหยิบเศษเหรียญจากในกระเป๋า เขาก็กล่าวถามเด็กน้อยว่า “หากตัดสินจากรูปลักษณ์ของเจ้า เจ้าเป็นคนที่ค่อนข้างมีพลังและสามารถหาหนทางอื่นเลี้ยงชีพตนเองได้ ทำไมเจ้าไม่ทำสิ่งอื่นดู แทนที่จะเป็นแค่ขอทานล่ะ?” เด็กชายมองชิงสุ่ยด้วยสายตาประหลาดใจ มันเป็นเรื่องยากมากที่คนจะมาพูดคุยกับเขาใช่ไหม คนส่วนใหญ่มักแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยามและพยายามขับไล่ไสส่ง บางคนถึงขั้นตะโกนด่า แต่ก็มีบางคนที่ยอมมอบเศษเงินให้กับเขา
“ถ้าหากข้ามีชีวิตอยู่ตัวคนเดียว มันก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าข้ามีพี่น้อง ทุกคนยังคงเป็นเด็ก หากข้าต้องทำงาน เงินที่ได้จากการทำงานมันไม่พอเลี้ยงทุกคน แล้วถ้าหากข้าบอกให้พวกเขาออกหากินด้วยวิธีการเป็นขอทาน ข้าก็เป็นห่วงว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตราย ดังนั้น ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำมันด้วยตัวคนเดียว อย่างน้อยที่สุด ข้าก็ดูแลพวกเขาได้”เด็กหนุ่มจ้องมองชิงสุ่ยแล้วกล่าวโดยตรง เขาไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกมั่นใจในชายคนนี้
หลังจากเด็กหนุ่มกล่าวจบ ชิงสุ่ยก็รับรู้ได้ว่ายังมีเด็กอีก 2-3 คนอยู่ไม่ห่างไกลออกไป แต่ละคนอายุประมาณ 3-4 ปี ชิงสุ่ยจึงมองเห็นความดีงามในตัวของเด็กชาย หลังจากเขาครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ เขาก็กล่าวถามว่า “พวกเจ้ามีอยู่ด้วยกันกี่คน?”
เด็กชายไม่รู้ว่าชิงสุ่ยต้องการอะไร แต่เขาก็ยังคงตอบคำถามของชิงสุ่ย “พวกเรามีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 40 คน คนโตสุดอายุ 20 ปี ส่วนคนที่เด็กที่สุดก็คือคนที่ท่านได้เห็นอยู่ทางนั้น ส่วนที่เหลือก็มีอายุพอๆกับข้า”
ดวงตาของชิงสุ่ยส่องประกายสดใส “เจ้าช่วยพาข้าไปหาพวกเขาหน่อยได้หรือไม่?”
ชิงสุ่ยสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มนั้นเหมือนเป็นห่วงจึงพูดเสริมอีกว่า “ข้าไม่ได้มีอะไรซ่อนเร้นอยู่เลย ข้าอาจจะเปลี่ยนชีวิตเราได้ เจ้าจะต้องการหรือไม่ก็อยู่ที่เจ้าตัดสินใจ”
เริ่มมีความหวัง
ชายหนุ่มเริ่มมีความหวัง และเห็นความพิเศษจากผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาอาจจะเปลี่ยนแปลง ชะตาของเด็กหนุ่มได้อย่างแท้จริง คงไม่มีใครใฝ่ฝันที่จะอยู่ใต้คนอื่นไปตลอดกาล และคงไม่มีใครที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นขอทานไปตลอดชีวิต
เด็กหนุ่มนำทางชิงสุ่ยไปเจอกับคนที่เหลือทั้งหมด เหตุผลที่ชิงสุ่ยอยากจะเจอพวกเขาก็เพราะชิงสุ่ยอยากจะทดสอบความสามารถของเด็ก แม้จะเป็นเพียงเด็กระดับทั่วไปเทียบเท่าค่าเฉลี่ย ชิงสุ่ยไม่ได้ต้องการให้พวกเขามีความสามารถพิเศษ แต่ขอเพียงแค่ไม่แย่เกินไป
ในบรรดาคนทั้งหมด มี 3 คนที่มีอายุประมาณ 21 หรือไม่ก็ 22 ปี ที่เหลือจะมีอายุประมาณ 15-16 ปี ส่วนอีกกลุ่มนึงก็จะมีอายุประมาณ 3 ถึง 7 ปี
ในกลุ่มเด็กทั้งหมดมีประมาณ 10 กว่าคนที่มีร่างกายที่ดี แน่นอนว่าคนเหล่านี้มีร่างกายที่สูงกว่าคนทั่วไป ส่วนที่เหลือก็จะเป็นคนที่มีร่างกายระดับทั่วไปไม่ได้ต่ำกว่า ระดับร่างกายของคนทั่วไป จึงเป็นธรรมดาที่คนอื่นจะมองว่าคนเหล่านี้เป็นคนไร้ค่า
“เจ้าอยากจะเป็นยอดยุทธและยืนอยู่เหนือคนอื่นหรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวถามเหล่าเด็กๆ
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีเสียงตอบกลับ พวกเขาได้แต่จ้องมองชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยสะบัดแขนออกไป บดขยี้ก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจนกลายเป็นผุยผง
ในชั่วพริบตา สายตาของเด็กหนุ่มทั้งหมดก็เปลี่ยนไป ทุกคนล้วนฝันอยากจะเป็นผู้กล้า แต่พวกเขารู้ดีว่าโลกใบนี้โหดร้าย ฝันของพวกเขาไม่มีทางเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขานอกจากนี้พวกเขาเองก็อายุมากกว่าเด็กที่เริ่มฝึกฝน
“พวกเราผ่านช่วงอายุที่เหมาะกับการฝึกฝนมาแล้ว แม้ว่าบางคนจะยังเด็ก แต่พวกเราทุกคนก็รู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ไม่ทราบว่าท่านต้องการอะไรจากพวกเรา?”ชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปีกล่าวถาม
“ในสายตาของข้า การฝึกฝนไม่มีช่วงอายุ ข้ามั่นใจได้เลยว่าข้าสามารถทำให้พวกเราทุกคนบรรลุความแข็งแกร่งที่เหมาะสมได้ในระยะเวลาอันสั้น สำหรับข้อแลกเปลี่ยน บนโลกนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับข้า ข้าต้องการช่วยเหลือพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้ากล้าสาบานจะจงรักภักดีต่อข้า ข้าก็พร้อมจะมอบทักษะพิเศษให้กับพวกเจ้า”ชิงสุ่ยมองดูเด็กหนุ่มทุกคนที่กำลังมองเขาด้วยสายตาชื่นชม
ชายหนุ่มหันมองกันท่ามกลางความเงียบ เมื่อพิจารณาถึงชีวิตที่น่าสมเพชแล้ว การจะลุกขึ้นยืนหยัดได้ย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน บางครั้ง ข้อแลกเปลี่ยนที่ให้ไปกับข้อแลกเปลี่ยนที่ได้รับจะเท่าเทียมกันได้ย่อมเกิดความยุติธรรม ��