Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 2008 – ต่อสู้เพื่อแย่งชิง เป่ยหมิงเสวี่ย
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 2008 – ต่อสู้เพื่อแย่งชิง เป่ยหมิงเสวี่ย
“หืม? ดูเด็กเหลือขอนั่นสิ ดูเหมือนมันจะเป็นคนที่ช่วยเหลือเทียนฮี่เรินโม่เมื่อวันก่อน”
คนที่กำลังพูดเป็นชายหนุ่มใบหน้าค่อนข้างดี ขณะที่เขากล่าวเขาก็ชี้นิ้วมาทางชิงสุ่ย
“ดูเหมือนจะใช่ พวกเราจะรอจนกว่ามันเข้าไปข้างในแล้วค่อยจัดการดีกว่า”ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์อีกคนนึงกล่าวแต่น้ำเสียงของเขาให้ความเป็นผู้ใหญ่และดึงดูดมาก ลักษณะภายนอกโดยรวมแล้วดูแข็งกระด้างแต่สง่างาม
นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่ดูสุภาพ กลิ่นอายรอบตัวของเขาก็ยังคงทรงพลังจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
“ชิงสุ่ย ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากจะสู้กับท่าน”อวี้ซีหยวนกล่าว สีหน้าไม่มีความกระวนกระวาย
ชิงสุ่ยไม่รู้จักคนเหล่านี้ แต่เมื่อพิจารณา
บทที่ 2008 – ต่อสู้เพื่อแย่งชิง เป่ยหมิงเสวี่ย
“หืม? ดูเด็กเหลือขอนั่นสิ ดูเหมือนมันจะเป็นคนที่ช่วยเหลือเทียนฮี่เรินโม่เมื่อวันก่อน”
คนที่กำลังพูดเป็นชายหนุ่มใบหน้าค่อนข้างดี ขณะที่เขากล่าวเขาก็ชี้นิ้วมาทางชิงสุ่ย
“ดูเหมือนจะใช่ พวกเราจะรอจนกว่ามันเข้าไปข้างในแล้วค่อยจัดการดีกว่า”ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์อีกคนนึงกล่าวแต่น้ำเสียงของเขาให้ความเป็นผู้ใหญ่และดึงดูดมาก ลักษณะภายนอกโดยรวมแล้วดูแข็งกระด้างแต่สง่างาม
นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่ดูสุภาพ กลิ่นอายรอบตัวของเขาก็ยังคงทรงพลังจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
“ชิงสุ่ย ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากจะสู้กับท่าน”อวี้ซีหยวนกล่าว สีหน้าไม่มีความกระวนกระวาย
ชิงสุ่ยไม่รู้จักคนเหล่านี้ แต่เมื่อพิจารณาจากวิธีการพูดคุยรวมถึงบริบทคนรอบข้าง คนที่กำลังชี้นิ้วมาทางชิงสุ่ยน่าจะมาจากตระกูลซือเฉิง หรือไม่ก็ตระกูลที่สูงกว่านั้น ในขณะที่ชิงสุ่ยมองดูชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา เขาก็รู้สึกว่าคนคนนี้ควรจะเป็นซือเฉิงเย่หยาง
“หนึ่งในเพื่อนของข้าดูเหมือนจะผิดใจกับคนเหล่านั้น เมื่อ 2 วันก่อน ข้าเห็นเพื่อนของข้าถูกไล่ล่า ข้าจึงพาเพื่อนของข้าหลบหนี”ชิงสุ่ยอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
มีใครบางคนเข้าไปข้างในแล้ว!!
“ไปกันเถอะ พวกเราจะจัดการกับเจ้าเด็กเหลือขอนั้นภายหลัง เมื่อมันเข้าไปข้างในแล้วมันก็ยากที่จะหลบหนี”ชายหนุ่มรุ่นเยาว์แสดงรอยยิ้มอันแสนหยิ่งยโส
ชิงสุ่ยไม่คิดจะโต้เถียงใดๆ แต่นึกในใจแล้ว เขาก็ยังคงคิดว่าเขาควรจะให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้หรือไม่
“ชิงสุ่ย เข้าไปข้างในกัน”อวี้ซีหยวนยิ้มกว้าง ชิงสุ่ยพยักหน้าตอบ คนกว่าครึ่งหนึ่งที่เป็นยอดยุทธกำลังทยอยกันเข้าไป
ทั้งชิงสุ่ยและอวี้ซีหยวนเองก็เดินทะลุประตูมิติ ไปปรากฏตัวอยู่ในดินแดนแห่งปราณจิต เมื่อมองไปรอบ ทิวทัศน์ทั้งหมดเต็มไปด้วยความงดงาม เพียงแค่สัมผัสกับอากาศก็รับรู้ได้ถึงพลังปราณจิตอันหนาแน่น ภายในตัวดินแดนนั้นไม่ต่างอะไรจากโลกภายนอก นอกจากจะมีหุบเขาเล็กน้อยมากมาย พืชพรรณต่างๆก็เต็มไปด้วยความหลากหลาย
“ชิงสุ่ย อยู่ที่ประตูเส้นทางแห่งการลำดับที่ 2 สิ ข้าคิดว่าคนจำนวนมากคงจะไปรอที่นั่นแล้ว”อวี้ซีหยวนกล่าว
ชิงสุ่ยและอวี้ซีหยวนรวมไปถึงคนอื่นเร่งฝีเท้าเดินออกจากหุบเขา เพื่อส่งไปยังสถานที่ที่มีรูปปั้นขนาดใหญ่มาก ตัวรูปปั้นสูงเกือบ 2000 ลี้ มันเป็นสิ่งที่เหนือการจินตนาการ แล้วไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในโลกใบก่อน ตัวรูปปั้นหินสมจริงจนเหมือนกับมันกำลังมีชีวิตอยู่ เขาได้แต่สงสัยว่าใครกันที่แกะสลักรูปปั้นใหญ่ขนาดนี้ได้
ตามตำนานกล่าวว่าประตูที่ 2 จะเชื่อมต่อกับคฤหาสน์และคลังอาวุธที่แข็งแกร่ง น่าเสียดายที่พลังประหลาดของตัวคฤหาสน์ บังคับให้ผู้คนที่ได้รับอนุญาตเข้าไปข้างในนำสิ่งติดตัวกลับออกมาได้เพียงแค่ 1 อย่างเท่านั้น และเมื่อพวกเขาตัดสินใจเลือก สิ่งที่เหลือจะหายไปทันที
แม้ว่ามันจะดูประหลาดแต่ชิงสุ่ยก็ไม่รู้สึกแปลก
“อนุสรณ์สถานหินเป็นที่รู้จักกันดีในนามอนุสรณ์สถานสวรรค์ปราณจิต ฐานด้านล่างคือเส้นทางสู่พระราชวังขุมทรัพย์ นอกเหนือจากการตามล่าสมบัติแล้ว จุดประสงค์ที่ผู้คนมาที่นี่ก็เพื่อเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อหวังสมบัติ แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับโชค บางคนได้สมบัติมาแต่ก็ใช้งานไม่ได้เพราะไม่เหมาะกับตัวเอง”อวี้ซีหยวนชี้นิ้วไปยังอนุสรณ์รูปปั้นขนาดใหญ่ขณะอธิบายให้ชิงสุ่ยได้รู้
ฐานที่อยู่เบื้องล่างแต่ละฐานมีความกว้างและยาวประมาณ 30 เมตร และลงอักขระตัวอักษรลึกลับบางอย่าง รูปร่างของตัวอักษรดูเรียบง่ายแต่ให้ความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ แรงกดดันจากอากาศต่างๆที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
ทุกคนยืนอยู่ตรงหน้าฐาน โดยที่แต่ละฐานจะมีเวลาให้จำกัด ใครก็ตามที่สามารถยืนอยู่บนฐานแผ่นนั้นได้ยาวนานกว่า 1 ชั่วโมง คนอื่นจะไม่มีสิทธิ์แย่งชิงฐานแผ่นนั้น แต่ถ้าหากว่าบนฐานมีคนสองคนยืนอยู่จนกระทั่งหมดเวลา ทั้งสองคนจะไม่ถูกส่งไปยังพระราชวังสมบัติ น่าจะถูกตัดสิทธิ์ทันที
นอกจากนี้มันยังมีกฎสำหรับผู้ชนะ ใครก็ตามที่สามารถเอาชนะราชาที่ยืนอยู่บนฐานได้ คนผู้นั้นจะเข้ารับหน้าที่ต่อเพื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนอื่น เมื่อตะโกนเรียกคู่ต่อสู้ครบ 3 ครั้งแล้วไม่มีใครสนใจ ทุกอย่างก็จะเสร็จสิ้น นี่คือกฎ
แต่ละฐานมีลักษณะที่ไม่แตกต่างกันมากและกระจายอยู่รอบรอบตัวอนุสรณ์สถานสวรรค์ปราณจิต
เพียงแค่ชั่วพริบตา บนตัวฐานก็ปรากฏร่างของชายกำยำตัวใหญ่ อายุประมาณวัยกลางคน ร่างกายของเขาปลดปล่อยคลื่นพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังร้อนระอุ เขากำหมัดแน่นและตะโกนเสียงดังสนั่นว่า “ข้าเล่ยเป่าแห่งพระราชวังอมตะมหาสุริยัน!! วันนี้ ข้าขอแสดงความกล้าหาญยืนหยัดอยู่บนฐานชิ้นนี้ ใครก็ตามที่รู้สึกว่าข้าไม่สมควรยืนอยู่บนนี้ ข้าก็น้อมรับคำท้าประลองของทุกคน”
พระราชวังอมตะมหาสุริยันมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนมาจากแผ่นดินที่ถูกไฟเผาผลาญจนแดงชาด แต่ละคนล้วนครอบครองพลังที่น่าเกรงขาม และมีข่าวลือหนาหูว่าพวกเขามาจากโลก 9 มหาทวีปที่แท้จริง
ชายคนนั้นจ้องมองไปรอบๆและเมื่อไม่เห็นใครโต้ตอบกลับเขาจึงยิ้มและตะโกนท้าทาย 3 ครั้งติดต่อกัน แต่ก็ยังไม่มีใครตอบกลับมา
ในบริเวณฐานประลองใกล้เคียง ก็มีชายชุดขาวขึ้นไปปรากฏตัว เขามีใบหน้าอ่อนเยาว์เป็นอย่างมาก ดวงตาของเขากำลังชำเลืองมองผู้คนรอบตัว “ข้าชูไป๋จากพระราชวังจันทร์กระจ่าง”
ชายที่ดูบอบบางใบหน้าหล่อเหลาถือกระบี่ยาวในมือยืนอยู่บนฐานประลองความนิ่งเฉย แม้ว่าเขาจะตะโกนเรียก 3 ครั้งก็ไม่มีใครกล้าแสดงตัวออกมาท้าทาย พวกเขาพยายามข่มขวัญกลุ่มพระราชวังอมตะมหาสุริยัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็พยายามฉวยโอกาส ยึดตำแหน่งสำคัญกันคนละแห่งเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดบาดหมางกันเร็วเกินไป
พระราชวังจันทร์กระจ่างการเป็นผู้ครอบครองฐานการประลองที่ 2 ไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหญิงสาวคนหนึ่งก็ขึ้นไปบนฐานการประลองที่ 3 ชิงสุ่ยตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่บนฐานการประลองที่ 3 นั้นเป็นใคร เธอก็คือเป่ยหมิงเสวี่ย!!
เหมือนอย่างเช่นเคย เธอปรากฏตัวอยู่บนฐานการประลองในชุดสีแดงโลหิต ใบหน้าขาวนวลทรงเสน่ห์เหมือนผิวเด็กทารก จมูกโค้งมนผมดำห้อยประบ่า ดวงตาที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง แซงไปด้วยสติปัญญา แต่ในขณะเดียวกันมันก็ปลดปล่อยกลิ่นอายแสนเย็นชาประหลาดออกมาซึ่งยังคงไว้ถึงกลิ่นอายดึงดูด
เธอมีร่างกายที่สูงเกือบจะเท่าชิงสุ่ย ร่างกายโดยรวมของเธอมีสัดส่วนที่งดงามโดยเฉพาะเอวที่เล็กแคบและมีผ้าสีแดงผูกเพื่อเสริมความเด่นสง่า เสื้อคลุมสีดำที่ห้อยจากหลัง ยิ่งทำให้เธอดูสูงส่ง เกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะเข้าถึงได้
“ว้าวว นั่นมันสาวงามที่สวยที่สุดในเมืองอุดรเหมันต์….”
“ไม่ เธอน่าจะเป็นสาวที่งดงามที่สุดในดินแดนหิมะอุดรด้วยซ้ำ”
“เธอเป็นถึงผู้นำแห่งพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา ตามข่าวลือ ยังบอกอีกว่าเธอมีกองกำลังที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลัง “
“เธอช่างสง่างามเกินไปแล้ว” …………..
ชิงสุ่ยเร่งสอดส่องสายตาไปที่กลุ่มของพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา แต่เมื่อเขาไม่เห็นหลวนหลวน เขาถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เป่ยหมิงเสวี่ยตะโกนท้าทาย 2 ครั้งติดต่อกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นมาท้าทาย เพราะเมื่อเทียบกับพระราชวังจันทร์กระจ่างหรือพระราชวังอมตะมหาสุริยัน กลุ่มพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาถือว่ามีระดับพลังที่ห่างกันแค่เพียงเล็กน้อย ในขณะที่เป่ยหมิงเสวี่ยกำลังจะตะโกนท้าทายเป็นครั้งที่ 3
“ข้าขอท้าทายน้องสาวเสวี่ย”
ทันทีที่เสียงกล่าวจบ ร่างที่แสนสง่างามก็ปรากฏขึ้นบนฐานการประลองเกี่ยวกับเป่ยหมิงเสวี่ย เธอเองก็เป็นหญิงสาวที่ดูมีเสน่ห์ งดงามดุจปีศาจ ความสูงเท่าเทียมกันเป่ยหมิงเสวี่ย
ชิงสุ่ยมองดูหญิงสาวผู้นั้น ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างสองคนที่ยืนอยู่บนฐานประลอง เธอก็มีเสน่ห์เกือบจะเท่ากับเป่ยหมิงเสวี่ยทุกอย่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงสาวอีกคนนึงก็เป็นหญิงสาวโฉมงามที่อยู่เหนือหญิงสาวงดงามนับพันคน