Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 2029 – ปะมือกับจอมอสูรโลหิตที่เปรียบเสมือนการทักทาย
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 2029 – ปะมือกับจอมอสูรโลหิตที่เปรียบเสมือนการทักทาย
บทที่ 2029 – ปะมือกับจอมอสูรโลหิตที่เปรียบเสมือนการทักทาย
“ถ้าฉะนั้นเรามาพูดถึงปัญหาของพวกเรากันดีกว่า”ชิงสุ่ยยิ้มกว้าง
“เอาล่ะ หลังจากที่ข้าได้พบท่าน ข้าเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับท่าน แต่พวกเราก็คงเป็นเพื่อนกันไม่ได้”จอมอสูรโลหิตกล่าวบางอย่างที่เขาไม่คาดคิดว่าตัวเองจะพูดออกมา
ชิงสุ่ยเองก็ค่อนข้างพอใจ
“ข้าชักอยากจะรู้แล้ว ท่านคือผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ และยังเป็นผู้ที่มากความสามารถ จนกระทั่งถึงตอนนี้ ท่านมีความกังวลเกี่ยวกับสายเลือดจอมอสูรบ้างหรือไม่? ตัวอย่างเช่นอารมณ์ที่แปรปรวนของท่านและคนอื่น?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
“อันที่จริงแล้ว มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ผู้สืบทอดมรดกจอมอสูรคือผู้ที่ฝึกฝนทักษะอสูรย่อมทำให้สูญเสียตัวตนของตนเอง การที่จะ
บทที่ 2029 – ปะมือกับจอมอสูรโลหิตที่เปรียบเสมือนการทักทาย
“ถ้าฉะนั้นเรามาพูดถึงปัญหาของพวกเรากันดีกว่า”ชิงสุ่ยยิ้มกว้าง
“เอาล่ะ หลังจากที่ข้าได้พบท่าน ข้าเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับท่าน แต่พวกเราก็คงเป็นเพื่อนกันไม่ได้”จอมอสูรโลหิตกล่าวบางอย่างที่เขาไม่คาดคิดว่าตัวเองจะพูดออกมา
ชิงสุ่ยเองก็ค่อนข้างพอใจ
“ข้าชักอยากจะรู้แล้ว ท่านคือผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ และยังเป็นผู้ที่มากความสามารถ จนกระทั่งถึงตอนนี้ ท่านมีความกังวลเกี่ยวกับสายเลือดจอมอสูรบ้างหรือไม่? ตัวอย่างเช่นอารมณ์ที่แปรปรวนของท่านและคนอื่น?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
“อันที่จริงแล้ว มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ผู้สืบทอดมรดกจอมอสูรคือผู้ที่ฝึกฝนทักษะอสูรย่อมทำให้สูญเสียตัวตนของตนเอง การที่จะบรรลุพลังอันยิ่งใหญ่ของทักษะจอมอสูร หากกระทำการมักง่ายจะได้มาซึ่งหลักฐานที่มั่นคง และทำให้สั่นคลอน แต่ถ้าหากตั้งใจฝึกฝนดีๆแล้วก็เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้นได้ ดังนั้นการฝึกฝนทักษะอสูรก็ไม่ใช่เรื่องแย่และอาจจะดีกว่าหลายๆทักษะ”จอมอสูรโลหิตกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ชิงสุ่ยครุ่นคิด คำพูดของชายที่อยู่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยความสงบและแฝงไปด้วยสติปัญญา
“ถูกต้อง ดูเหมือนว่าข้าเองก็จะเป็นคนใจแคบเกินไป”ชิงสุ่ยพยักหน้า
อย่างไรก็ตาม จอมอสูรโลหิตก็แสยะยิ้ม “ก็ตามที่บอกไปมันไม่ใช่เรื่องง่าย จะมีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่ทำในสิ่งที่ข้าพูดไปได้ ส่วนใหญ่จะหลงมัวเมาอำนาจ แม้แต่คนที่มีจิตใจเยือกเย็นก็ยังต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์แปรปรวน วิธีแก้คือการฝึกฝนควบคุมสิ่งเร้า เช่นการฝึกฝนทำสมาธิ “
ชิงสุ่ยไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ที่ฝึกฝนด้านอสูรจะรู้จักการทำสมาธิ
“ตัวท่านเองคงไม่เคยไปที่โลกเก้ามหาทวีปอันแท้จริง ข้าพูดได้เต็มปากเลยว่าข้าเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตเล็กย่อยในโลกใบนั้น ตัวข้าไม่อยากขัดแย้งกับท่าน แต่ก็เป็นเพื่อนกันไม่ได้ ตอนนี้เราอยากเป็นศัตรูกันเลย เราควรหาวิธีกระชับมิตรความสัมพันธ์กันจะดีกว่า ท่านคิดว่าอย่างไร?”จอมอสูรโลหิตเสนอแนะหลังจากคิดชั่วครู่หนึ่ง
ชิงสุ่ยพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น ในอนาคตบางทีเราอาจจะเป็นมิตรสหายกันได้ ข้าก็มีความเชี่ยวชาญในการรักษา ข้าย่อมสามารถควบคุมสายเลือดจอมอสูรได้ ถ้าพูดตรงไปตรงมา ข้าก็มีภรรยาเป็นผู้สืบทอดมรดกจอมอสูรเช่นกัน ข้าสามารถชำระล้างความชั่วที่ครอบงำอยู่ในสายเลือดได้ แต่มันก็จะทำให้ข้อดีในการพัฒนาพลังสูญหายไปบางส่วน เป็นธรรมดาที่ผู้ครอบครองสายเลือดจอมอสูรจะไม่เต็มใจสูญเสียความสามารถนี้ “
“โอ้ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ บางทีมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ท่านคิด ผู้สืบทอดจอมอสูรบางคนพยายามก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเผชิญหน้ากับความยากลำบาก แต่ก็ต้องเจอกับอุปสรรคขวางกั้น จนสุดท้ายพวกเขาก็ต้องล้มเลิกไม่อาจคืบหน้าไปกว่าเดิม มันก็หมายความว่า ความสามารถในการพัฒนาเองก็ถูกหยุดไปด้วย”
ชิงสุ่ยไม่เคยนึกถึงจุดนี้มาก่อน มันคือเงื่อนไขที่ค่อนข้างพิเศษ สิ่งที่จอมอสูรโลหิตกล่าวนั้นถูกต้อง บางคนที่บรรลุถึงระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ หรือปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องยอมหยุดการพัฒนาของตนเมื่อไม่สามารถข้ามขีดจำกัดทัณฑ์สวรรค์ไปได้
“สักวันหนึ่ง ข้าอาจจะต้องพึ่งพาการช่วยเหลือของท่านในการควบคุมสายเลือดแห่งจอมอสูร”จอมอสูรโลหิตกล่าวคำพูดที่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกสับสน
“ข้าพร้อมจะช่วยเหลือ ถ้าหากวันนั้นมาถึง”ชิงสุ่ยยิ้ม “เมื่อพูดคุยจบแล้ว เราก็มาแก้ปัญหาของเรากัน”
ชิงสุ่ยพยักหน้าตอบกลับและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
จอมอสูรโลหิตเองก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าเช่นกัน ทั้งสองจ้องมองหน้ากันพักใหญ่ก่อนจะเริ่มต้น
ชิงสุ่ยใช้กับทักษะไทเก๊ก
คลื่นพลังจางๆจุดประกายรอบตัวของเขาสร้างกลิ่นอายที่แสนสง่างามและเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกสบายใจเหมือนมีมือของสวรรค์และโลกคอยเกื้อหนุน
ราชาจอมอสูรโลหิตก็ปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งจนน่าตะลึง ทั้งคู่เข้าปะทะกันแทบจะทันที
ชิงสุ่ยมั่นใจว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับจอมอสูรโลหิตได้ แค่เพียงพลังป้องกันของเขาฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีทางโจมตีทะลุปราการป้องกันของเขามาได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้กระบวนท่าไทเก๊กเพื่ออาศัยการผันแปรพลังในการเบี่ยงเบนการโจมตีของศัตรูที่อ่อนแอกว่า เพื่อไม่ต้องการให้ศัตรูของตนเองได้รับบาดเจ็บ
เขายังได้ใช้ทักษะต่างๆในการสลายพลังศัตรู รวมถึงการใช้หมัดตันเปียนอาศัยความอ่อนเข้าต่อต้านความแข็ง
จอมอสูรโลหิตตกตะลึงอย่างมาก ชายที่เป็นคู่ต่อสู้ใช้เพียงแค่การป้องกัน ทั้งที่เขาโจมตีทุกอย่างสมบูรณ์แต่กลับไม่สามารถทำอะไรชิงสุ่ยได้เลย นอกจากนี้ยิ่งเขาโจมตีไปเรื่อยๆ พลังโจมตีของเขาก็เริ่มลดลง ความเร็วของเขาก็ขาดหาย ทุกอย่างของเขากำลังเสียสมดุล จนถอยหลังกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่อาจรุกคืบได้อีก
เขาไม่เคยเจอการต่อสู้แบบนี้มาก่อนเลย ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามผลัดกันลุกผลัดกันสู้ เหมือนใช้กลยุทธ์ในการพูดคุยแทนคำพูด มันช่างเป็นการต่อสู้ที่แสนเพลิน แล้วทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ เมื่อได้รับประสบการณ์การต่อสู้ที่แสนคุ้มค่า ทั้งสองฝ่ายก็หยุดการต่อสู้ด้วยความเข้าใจ “คุณชายชิง ข้าขอคารวะให้กับท่าน ท่านไม่เพียงแต่จะเป็นหมอที่เก่งกาจ แต่ท่านยังเป็นนักรบที่แข็งแรงอีกด้วย ด้วยความสัตย์จริง ข้าในตอนนี้อาจจะไม่ประทับใจในตัวท่านมากนัก แต่ในอนาคตข้ามั่นใจว่าท่านจะเป็นบุคคลที่ข้ารู้สึกประทับใจได้อย่างแน่นอน”
“ตัวท่านเองก็เป็นคนที่ดี ส่วนข้าก็ไม่ได้ดีมากขนาดเลย”
” สำหรับการต่อสู้มันคงต้องจบลงเพียงเท่านี้ คุณชายชิง แล้วพวกเราจะได้พบกันใหม่ในโลกเก้ามหาทวีป บางทีในสถานที่แห่งนั้นพวกเราอาจจะได้พานพบและมาเป็นมิตรสหายกัน”จอมอสูรโลหิตยิ้มและกล่าวอำลา
หลังจากที่ชิงสุ่ยบอกลาจอมอสูรโลหิต ข่าวคราวการต่อสู้ของเขาก็แพร่สะพัด ผู้คนที่รู้ข่าว ย่อมรู้ถึงความโหดเหี้ยมของจอมอสูรโลหิต มันจึงทำให้คนภายในเขตแดนหิมะอุดรเลือกที่จะไม่พยายามยุ่งเกี่ยวกับเขาไปโดยปริยาย