Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 59 นี่แกขับรถเป็นจริงๆใช่มั้ย?
ตัวรถหมุนกลับวิ่งไปอีกทางแทน ชูฮันขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดด้วยเพราะการขับรถอ้อมไปอีกทางเป็นการเสียเวลาทิ้งเปล่าๆ ทุกอย่างมันต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้มันใช้เวลาในการขับรถข้ามเมืองถึง1วันต่างจากเมื่อก่อนที่ใช้เวลาเพียงแค่2-3ชั่วโมงเท่านั้นเอง การเดินทางในเมืองช้าลง เวลาเหมือนจะยืดไปไม่มีที่สิ้นสุดและถ้าโชคร้ายพวกเขาอาจจะหนีไม่รอด
ด้วยเพราะพวกเขายังโชคดีที่เจอมันทันเวลา ทำให้ชูฮันและทุกคนไม่ต้องตกไปอยู่ในรัศมีของซอมบี้ พวกเขาจึงสามารถหนีออกไปอีกทางได้แทน
เมืองตงสมกับเป็นเมืองแห่งความตายจริงๆ ตั้งแต่ที่ทางเข้าเมืองที่ถูกกั้นไว้ด้วยซอมบี้จำนวนมากและในเวลาเดียวกันตัวเมืองก็ไม่เหลือความมีชีวิตชีวาอีกต่อไป
เอี๊ยดดด——-
จู่ๆรถก็เบรกอย่างกระทันหัน เกิดเสียงลื่นไถลของล้อที่เบียดกับถนนดังขึ้น
“อะไรวะ! แกตาบอดเหรอไง?” มีเสียงด่าดังมา
ชูฮันที่กำลังมึนงงเลื่อนประตูด้านข้างของรถตู้ออกและกระโดดลงไปจากรถพร้อมกับขวาน ซางจิ่วตี้เองก็หยิบปืนและตามชูฮันไปทันที ส่วนป่ายหวีเนอลังเลอยู่ชั่วครู่หากในที่สุดก็ตัดสินใจกระโดดลงไปจากรถเช่นกัน
มันเป็นหัวมุม มีรถ2คันที่เกือบจะประสานงาใส่กัน…
มันถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเมื่อก่อน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ที่เหลือคนเป็นๆอยู่ไม่มาก ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ รถคันนี้น่าจะเข้ามาหาอาหารด้วยเพราะอาหารเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต่างฆ่ากันเอง
รถ2คันจู่ๆก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขาจะไปด้วยกันหรือแยกกันไป?….
ชูฮันออกไปยืนข้างตัวรถเพื่อรอคนอื่นออกมา เขาจะไม่เป็นคนแรกที่เปิดการต่อสู้ก่อน
มีชายคนหนึ่งกระโดดลงมาจากรถและปิดประตูอย่างแรง เดินหน้าเข้ามาทางชูฮันพร้อมกับจ้องหน้าชูฮันและคนในกลุ่มนิ่งราวกับนกอินทรีย์ เขาเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่อายุราว30หรือมากกว่านั้น ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา เขาใส่เสื้อกั๊กสีขาวและมีปืนอยู่ในมือ
มันไม่มีฐานทัพทหารอยู่ในเมืองตง เพราะฉะนั้นเขาน่าจะไปปล้นอาวุธมาจากตำรวจหรือไม่ก็เอามาจากถุงยังชีพ!
แถมพฤติกรรมยังหยาบคาย ทำให้พอจะสรุปได้ว่าเดี่ยวจะต้องมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นแน่ๆ
ชูฮันนิ่วหน้าพลางเอื้อมมือซ้ายลงไปในกระเป๋าโหลดปืนพกเตรียมพร้อม
แกร๊ก! ซางจิ่วตี้ที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ยกปืนขึ้นมาพลางเล็งไปที่ชายคนนั้น เธอมีความสามารถในการตระหนักถึงสถานการณ์ได้ดีในช่วงเวลาวิกฤติ
ป่ายหวีเนอก้าวเท้าถอยหลังทันที เตรียมตัวที่จะต่อสู้ ทั้งที่พึ่งก้าวเท้าลงมาเหยียบพื้น
เธอเดินไปหยิบปืนไรเฟิลด้ามสุดท้ายในท้ายรถตู้มา เธอดูเต็มไปด้วยความชำนาญเกินคนปกติขณะที่ยกปืนขึ้นและเล็งไปที่ชายคนนั้น
มันมีปืนทั้งหมด5กระบอก ชูฮันเอาไปเพียงปืนพก ส่วนปืนไรเฟิลที่เหลืออีก4กระบอกก็ให้ทั้ง4คนไป เขาคุ้นเคยกับการใช้ขวานเป็นอาวุธมากกว่า
ชายที่ยืนอยู่ตรงข้ามหยุดนิ่งหากสีหน้าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขายังคงดูไม่พอใจ บิดคอเล็กน้อยพร้อมกับถุยน้ำลายลงพื้น “ไอ้เ*ย! คนขับรถมึงนี่ขับรถเป็นรึเปล่าห้ะ?”
เฉินช่าวเย่ที่กำลังนั่งกำลังนั่งกังวลอยู่ในรถจู่ๆก็ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาด้วยความโมโห เขาเปิดเปิดประตูออกมาทันทีพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ชายคนนั่น “ไอ้ส*มึงนั่นแหละที่ไม่มีแม้แต่ใบขับขี่! รถบัสกูก็ยังเคยขับมาแล้ว!”
“ค*ย!” ชายที่อยู่ตรงข้ามก็ชี้นิ้วตะโกนด่ากลับมาเช่นกัน “มึงเคยขับรถบัสงั้นเหรอ? กูก็เป็นคนขับแทกซี่!”
ชูฮันคลายมือที่จับด้ามปืนออก ด้วยเพราะเขารู้สึกว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว
“เป็นคนขับรถแท็กซี่ไม่มีความหมายอะไร!” เฉินช่าวเย่ยังคงทะเลาะกับชายผู้นั้นต่อ “ทำเป็นอาละวาดไปทั่ว มึงรู้กฎจราจรรึเปล่าเถอะ? มาขับรถเลนคนอื่น?”
“ไอ้เ*ยอ้วน! แล้วกูจะทำงานของกูได้ยังไงถ้าขับรถไม่เปลี่ยนเลน?!”
“มึงว่าใครอ้วน?”
“ก็มึงไง!”
สถานการณ์นี้คืออะไรกัน? ซางจิ่วตี้และป่ายหวีเนอกำลังช็อค คนขับรถ2คนด่ากันงั้นเหรอ?
มีชาย2คนถือปืนกระโดดออกมาจากรถฝั่งตรงข้าม
“เกิดอะไรขึ้น เยวจึ?”
ชายคนที่เดินตรงเข้ามาก็ดูหน่วยก้านดีเช่นกันเอ่ยปากถามชายที่กำลังทะเลาะกับเฉินช่าวเย่ ขณะที่ชายอีกคนดูไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มีเพียงประกายแวบบนดวงตาเขาเป็นครั้งคราว
ชายคนที่ถูกเรียกว่า เยวจึ จ้องมาที่เฉินช่าวเย่พร้อมกับตอบ “เราเกือบจะชนกับรถคันนั้น”
ชายทั้งสองคนนั่นดูช็อคยามที่เห็นชูฮันและกลุ่มของเขา พวกเขามีเพียง5คน ชาย2 หญิง3 แถมหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นเด็กอีกด้วย ชายอ้วนคนนั้นเมินไปได้เลยเพราะมันน่าจะงี่เง่าเหมือนกับเยวจึ ส่วนสาวสวย2คนนั้นก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร หากชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขากลับต่างออกไป
ประมาณ 19หรือ20? เขาน่าจะอายุประมาณนี้!
“สวัสดี” ชายคนแรกเดินไปข้างหน้าและหยุดลงที่ระยะห่างที่เหมาะสมจากชูฮัน เขาถือปืนมาด้วยหากไม่ได้ขยับอะไร “ฉันชื่อ เฉินเสี้ยนกาว ส่วนคนนี้คือ เย๋เฉิน และคนขับรถของเรา เยวจึ”
ชูฮันหรี่ตาลงและพูดขึ้นนิ่งๆ “ชูฮัน”
เฉินเสี้ยนกาวมองไปที่ชูฮันอย่างสำรวจพลันสายตาเขาก็แสดงความตกใจออกมายามที่เห็นขวานที่ดูหนักมากในมือชูฮัน พลางยิ้มออกมา “ดีใจที่ได้รู้จักนะชูฮัน พวกคุณไม่ใช่คนท้องถิ่นใช่มั้ย?”
“ไม่” ชูฮันตอบตามตรงและถามกลับ “ทหาร?”
เฉินเสี้ยนกาวประหลาดใจพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างฉับพลัน “ฮ่าฮ่า! ฉันเคยเป็นทหารมาครึ่งชีวิต คุณมีสัมผัสที่ดีนะ คุณก็เคยเป็นทหารมางั้นเหรอ?”
ทหารจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกันได้ง่าย โดยเฉพาะในโลกาวินาศ การมีประสบการณ์ชีวิตร่วมกันมาทำให้พวกเขาเห็นค่าของกันและกัน
“เปล่า นักศึกษามหาวิทยาลัย” ชูฮันตอบอย่างซื่อสัตย์ เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และเขาไม่เคยเข้าร่วมกับกองทัพทหาร ไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติที่แล้วก็ตาม
“โอ๊ะ?” เฉินเสี้ยนกาวแปลกใจที่ได้ยินว่าชูฮันเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัย ด้วยเพราะบุคลิกเขาดูราวกับทหาร หรือเขามาจากโรงเรียนนายร้อย?
“เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่?” ชูฮันถามถึงสถานการณ์ ชายที่อยู่ตรงหน้าเขา…เฉินเสี้ยนกาว ดูดีที่เดียว เขาไม่น่าจะเป็นคนชั่ว
“เราไปตรวจดูทุกละแวกในบริเวณนี้และพยายามพาผู้รอดชีวิตกลับมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณมาจากกลุ่มทหารกลุ่มอื่นรึเปล่า?” เฉินเสี้ยนกาวหัวเราะหนัก
“ทำไมคุณถึงมองหาอาหารถ้าคุณมาจากกลุ่มทหารเฉิงซี?” จู่ๆเย๋เฉินก็ถามขึ้นมาพร้อมขยับแว่นตาเล็กน้อย
กลุ่มทหาร?
ชูฮันเป็นคนฉลาด เขากำลังคิดทบทวนในหัว…มันดูเหมือนกับว่าเหล่าผู้รอดชีวิตในเมืองตงได้จัดตั้งฐานทัพขึ้นมา และมันน่าจะมีมากกว่า1กลุ่ม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมืองตงถึงกลายเป็นเมืองแห่งความตายเพราะพวกเขาสร้างฐานทัพกันขึ้นมาเร็วเกินไป นี่พวกเขากำลังล่อซอมบี้กันอยู่หรือไง? พวกเขาควรจะรู้เอาไว้ว่าตัวเหนี่ยวนำความร้อนของซอมบี้นั่นทำงานราวกับระเบิดเวลา พวกมันจะไปรวมตัวกันในที่ๆมีคนอยู่เยอะๆ
พวกเขาจะสู้กับฝูงของซอมบี้ยังไงหากไม่มีแรงสนับสนุนของกองทัพหรืออาวุธทรงพลัง? หรือพวกเขาเอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับถุงยังชีพนั่น?
“พวกเรามาจากเมืองอื่น” ชูฮันไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก ด้วยเพราะเขาคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องตัวเหนี่ยวนำความร้อน
“พวกคุณกล้าหาญกันมาก!” เฉินเสี้ยนกาวถอนหายใจ “เอาเป็นว่าตามฉันมามั้ย? เราอยู่ในที่ปลอดภัยและเรารวบรวมเหล่าผู้รอดชีวิตเพื่อช่วยกันสร้างฐานทัพของเราเองขึ้นมา”
ชูฮันมองไปยังทิศทางของฝูงซอมบี้ ปลอดภัย? มันกำลังจะมีฝูงของซอมบี้มาทางนี้ในอีกเพียงแค่2วัน…