Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 2 ความมืดที่ปกคลุมทั่วโลก
“เจ้าต้องการให้มันคมขึ้น?”
เจ้าของร้านรู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับความต้องการของชูฮัน ชายหนุ่มคนนี้เลือกขวานมาเล่มหนึ่งก่อนที่จะขอให้เขาเหลาให้มันคมขึ้น อำนาจและความร้ายแรงของมันจะยิ่งน่ากลัวขึ้นหากมันถูกทำให้แหลมคมขึ้นไปอีก!
“เหลามัน ยิ่งทำให้แหลมคมมากเท่าไหร่ยิ่งดี” ชูฮันพูดด้วน้ำเสียงนิ่งๆ เขาไม่รู้เลยว่าเจ้าของร้านกำลังงงงวยในท่าทางที่แสนจะนิ่งเฉยกอปรกับดวงตาอันเงียบสงบ อันเป็นผลมาจากประสบการณ์กับการเผชิญกับโลกาวินาศมากขนาดไหน
“ไอ้หนู…” เจ้าของร้านกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
* ฟับ! *
กริชถูกแทงอย่างกระทันหันเข้าไปในเคาน์เตอร์ “เหลากริชด้วย ทั้งหมดน่าจะประมาณสองพันใช่หรือไม่? ฉันจะมารับของคืนนี้? นี่เงินหนึ่งพันสำหรับค่ามัดจำ” ชูฮันกล่าวเสียงดังฟังชัด
ชูฮันไม่เปิดโอกาสให้เจ้าของร้านได้พูดอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งเพิ่มยอมราคาค่าของให้เองด้วยซ้ำ เนื่องจากค่าเหลากริชนั้นมากที่สุดที่จะเป็นได้ก็ไม่เกิน200
เจ้าของร้านกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนตัดสินใจที่จะไม่เจรจาต่อรองราคาอะไรอีก ชูฮันไม่ได้อยู่รอรับของ เนื่องจากยังมีของอื่นๆอีกมากที่เขาจำเปนต้องซื้อ เขามีเวลาจำกัดซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถที่จะทำตัวสบายๆได้
ขวานเอาไว้สำหรับสู้กับซอมบี้ ในขณะที่กริชนั้นเอาไว้สู้กับมนุษย์
ช่วงแรกของโลกาวินาศถือว่ายังเป็นช่วงที่ดีอยู่เมื่อเทียบกับช่วงหลังๆ
สิ่งที่มนุษยชาติเรียกกันว่าศีลธรรมได้พังทลายลงเมื่อผู้คนต้องเผชิญกับซอมบี้ บางคนถึงกับฆ่าทั้งครอบครัวของตัวเองเพื่อคุกกี้ไม่กี่ชิ้น ผู้คนตกอยู่ในวังวนความเลวทรามต่ำช้า ยอมกินเนื้อมนุษย์กันเองเพื่อประทังความหิว
ถึงแม้ความคมของดาบปลายปืนจะดีกว่ากริช หากแต่ดาบปลายปืนที่วางขายส่วนใหญ่นั้นเป็นของกระจอก การออกแบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดอุปสรรคต่อความคล่องตัวในการใช้งาน ดาบปลายปืนส่วนใหญ่ที่วางขายไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความคมของมีดปลายดาบได้อย่างสมบทบาทของตัวอาวุธ
มีดดาบปลายปืนที่มีคุณภาพสูงนั้นยากที่จะหามาครอบครองได้ เช่นเดียวกับค้อนของทหาร…
นอกเหนือจากอาวุธ ชูฮันยังซื้อกระเป๋าเป้สะพายหลัง ซึ่งมันสามารถกันน้ำและป้องกันการฉีกขาดได้ดี
เขากำลังเตรียมตัวสำหรับการเดินทางที่ยาวนาน ถึงแม้ว่าประเทศจะส่งทหารออกไปช่วยเหลือพลเรือนก็ตาม แต่มันก็ช้าเกินกว่าจะช่วยอะไรได้ เขาต้องเดินทางไปเมืองอันลูเพื่อไปรับพ่อแม่ของเขา
ชูฮันเลือกถอดพวกสายรัดและวัตถุขนาดเล็กต่างๆออกจากกระเป๋าเป้ เพราะซอมบี้มีหูที่เฉียบคม สิ่งของเหล่านี้อาจสร้างปัญหาให้เขาได้
หลังจากนั้น ชูฮันก็ซื้อเสื้อผ้าและชุดปีนเขาแสนแพงซึ่งมีค่าราคามากกว่าหนึ่งพัน มันสามารถช่วยป้องกันสิ่งสกปรก แห้งเร็ว และเชื่อถือได้ เขาขอที่จะไม่เปลือยกายครึ่งตัวระหว่างการหลบหนี ดังเช่นในชาติก่อนหน้านี้ของเขา
ต่อมาชูฮันก็ซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างรวมทั้งผ้าพันแผล ซึ่งถือเป็นของหายากในโลกาวินาศ เขาเติมน้ำใส่ขวดน้ำและใส่ไว้ในกระเป๋าเป้สะพายหลังที่พึ่งซื้อมา หลังจากเสร็จทุกอย่างเขาก็ซื้อขนมปังอบแห้งและเนื้อแห้งด้วยเงินที่เหลืออยู่ทั้งหมด กระเป๋าเป้ของชูฮันในตอนนี้เต็มไปด้วยของมากมาย
เขาไม่จำเป็นต้องกินอะไรมากนัก สิ่งที่เขาต้องการคือการมีชีวิตอยู่รอด ขนมปังอบแห้งและเนื้อแห้งสามารถประทังชีวิตเขาไปได้อีกนาน สำหรับของอื่นๆนั้น… เขาไม่มีเงินเหลือที่จะซื้อแล้ว อีกอย่างการที่มีของมากเกินไปก็ทำให้ไม่สะดวกในการเดินทางเช่นกัน
กว่าทุกอย่างจะเสร็จมันก็เกือบจะค่ำแล้ว เหนือศีรษะของเขาปรากฏภาพท้องฟ้าสะอาดปลอดโปร่งและแสงแดดที่สาดส่องลงมาอย่างอบอุ่น มันเป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอากาศเน่าเสียที่มีกลิ่นเหม็นเน่าและถนนที่เต็มไปด้วยเลือดในโลกาวินาศ
ชูฮันยืนอยู่ตรงสี่แยก มองดูดวงอาทิตย์ลับลาครั้งสุดท้ายก่อนที่โลกาวินาศจะมาถึง เขารู้สึกถึงช่วงอารมณ์ที่หลากหลาย สามเดือนหลังจากโลกาวินาศ ผู้คนที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติจะเริ่มปรากฏตัวขึ้น แถมเพื่อนร่วมห้องของเขาอีกสองคนก็เป็นคนมีพลังเหนือธรรมชาติเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอดมาได้ถึงสิบปี
เขาเป็นคนที่ไม่ได้สำคัญอะไร เป็นคนธรรมดาแต่กลับสามารถเอาตัวรอดได้ เขาได้ประสบพบเจอกับสิ่งต่างๆมากมายในชาติที่แล้ว…
*บีป บีป! *
โทรศัพท์ในกระเป๋าของชูฮันเริ่มสั่นอีกครั้ง ชูฮันหยิบมันออกมาและเห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับ ถึง 20สายจากหมายเลขเดียวกัน
“สวัสดี?” ชูฮันกดรับ
“นายอยากตายเหรอ?” เสียงโมโหของผู้หญิงคนหนึ่งโวยวายดังออกมาจากโทรศัพท์ เสียงนั้นแหลมสูงคล้ายกับเสียงของถ้วยชามที่กระแทกลงบนโต๊ะ
ชูฮันดูที่หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งปรากฏชื่อ – ติงเซว
ด้วยความสัตย์จริงเขารู้จักกับคนที่ชื่อติงเซวมากกว่า 20 คน ตลอดสิบปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเขาพอจะนึกออกได้อยู่ว่าติงเซวเมื่อสิบปีที่แล้วคือใคร
“มีอะไรรึเปล่า” ชูฮันถามพลางผงกศีรษะขึ้นเพื่อมองดูแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่อง ก่อนจะมองเลยไปยังร้านขายอาวุธ มันถึงเวลาที่ต้องไปรับกริชและขวานที่สั่งไว้แล้ว
“ฉันพยายามที่จะโทรหานายเป็นสิบๆครั้งแล้ว แต่นายไม่แม้แต่จะรับสายของฉันเลยแม้แต่สายเดียว” ติงเซวกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “ทำไมถึงขาดสอบ” “นายรู้ใช่มั้ยว่านายไม่มีสิทธิสอบแก้นะ ใช่มั้ย? นายต้องลงเรียนซ้ำอีกครั้งในภาคการศึกษาหน้า นี่นายยังอยากเป็นนักเรียนที่ขยันขันแข็งอยู่มั้ย? นายยังอยากที่จะเรียนจบอยู่รึเปล่า…”
ติงเซวยังคงบ่นไปเรื่อยๆ ชูฮันถอนหายใจออกมา หากจู่ๆเขาก็ชะงักในที่สุดเขาก็นึกออก ว่าเธอคนนี้คือผู้ตรวจสอบชั้นเรียนในวิทยาลัยของเขาเอง ติงเซวเป็นคนที่มีบุคคลิกตรงกันข้ามกับชื่อของเธอ เธอมีอารมณ์ดั่งภูเขาไฟ เธอกล้าแม้กระทั่งฝ่าเข้าไปยังหอพักซึ่งเต็มไปด้วยนักเรียนชาย
“ผู้ตรวจสอบ คุณเป็นยังไงบ้าง” ถามพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนหน้าของเขา เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับติงเซวในชาติที่แล้ว แต่เขาไม่เคยได้พบเธอเลยหลังจากโลกาวินาศได้เริ่มขึ้น บางทีเธออาจจะเสียชีวิตไปแล้วหรือบางทีเธออาจจะกลายร่างเป็นซอมบี้ไปแล้วก็เป็นได้…
“กล้าดียังไง!” ติงเซวขึ้นเสียงใส่อย่างเกรี้ยวกราด “นายต้องสอบซ้ำอีกรอบในภาคการศึกษาต่อไป!”
“ผู้ตรวจสอบ คุณควรซื้ออาหารเตรียมกักตุนไว้นะ”…เพื่อตัวเธอเอง ชูฮันเตือนเธอ
เขาลืมเรื่องของติงเซวไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เขาไม่รู้เลยว่าเธอในปัจจุบันมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน หากแต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันเป็นเวลาถึงสองปี
“เลิกเปลี่ยนเรื่องได้แล้ว” เนื่องจากติงเซวเคยเป็นผู้ตรวจสอบประจำชั้นเรียน ดังนั้นเธอจึงมีจิตใจที่แน่วแน่ ไม่ถูกรบกวนได้ง่ายๆด้วยฝีมือของชูฮัน
“ไปเตรียมอาหารและน้ำไว้” ชูฮันไม่ได้พูดอะไรต่ออีกและตัดสินใจวางสายลง เขาได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วในการช่วยให้เธอเตรียมตัวพร้อมที่จะเอาตัวรอดกับโลกาวินาศที่จะมาถึง ด้วยประสบการณ์ที่เขาสั่งสมมาตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
“ฮัลโหล?ฮัลโหล?” ติงเซวยืนตัวสั่นเทาเต็มไปด้วยความโกรธภายในหอพัก หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงโทสะ เธอเป็นเด็กสาวที่มักได้รับอภิสิทพิเศษเสมอๆ เด็กสาวผู้มีความงามอันอุดมสมบูรณ์นี้ มีผลการเรียนที่ดีและมีความสามารถในการทำงาน ไม่เคยมีใครกล้าที่วางสายโทรศัพท์ใส่หูเธอและเธอเท่านั้นที่สามารถสั่งให้คนรอบข้างทำสิ่งต่างๆตามที่เธอต้องการได้ ทำไมชูฮันนักเรียนที่แสนยากจนคนนี้ถึงกล้าวางสายใส่เธอกัน?
“ไอ้ทุเรศ!” ติงเซว ผู้ซึ่งได้ทุกอย่างสมปรารถนามาเสมอ ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากร้องไห้ เธอรู้สึกไม่ยุติธรรม เพราะเธอไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาเช่นนี้มาก่อน
———
เมื่อเดินเข้าไปยังร้านขายอาวุธ ชูฮันจ่ายเงินที่เหลืออีกหนึ่งพันบาทให้กับเจ้าของร้าน และจากไปพร้อมกับขวานและกริช ภายใต้สายแปลกประหลาดของเจ้าของร้านที่มองมา โชคดีที่เจ้าของร้านช่วยห่ออาวุธทั้งสองมาอย่างแน่นหนา มิฉะนั้นหากเขาเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับขวานและกริชกวัดแกว่งไปมาแบบนี้ตามทาง ผู้คนอาจจะแตกตื่นก่อนการมาถึงของโลกาวินาศก็เป็นได้
เมื่อกลับไปถึงหอพัก ชูฮันอุ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองถ้วยและชาร้อนอีกนิดหน่อยเพื่อดื่ม อาหารขยะพวกนี้มีรสชาติอร่อยดีสำหรับเขา จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าและเปลี่ยนไปใส่ชุดปีนเขา โลกจะเข้าสู่ความมืดมิดเป็นเวลาหกชั่วโมงก่อนที่การปะทุของโลกาวินาศจะเกิดขึ้น
ในเวลานั้นทุกๆคนและสิ่งมีชีวิตต่างๆจะตกอยู่ในสภาวะโคม่า เมื่อพวกเขาฟื้นสติคืนกลับมา ทุกคนจะตระหนักได้ว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง 80%ของมนุษยชาติได้กลายร่างเป็นซอมบี้ อุณหภูมิจะลดลงอย่างฮวบฮาบ
ชูฮันเคยชินกับการเตรียมตัวอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากสวมชุดปีนเขาเสร็จ เขาวางขวานไว้บริเวณข้างๆมือเขาซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาคุ้นเคยดี
ในชาติที่แล้ว เขาสามารถจับอาวุธได้ทันทีหากเกิดอันตรายขึ้น
ต่อไปชูฮันก็ผูกกริชไว้กับเข็มขัดด้านหลัง หันออกด้านนอกไปทางฝั่งปลายแขนข้างขวาของเขา เขาเคยชินกับการมีอาวุธที่ยาวกว่าไว้ทางด้านขวาและกริชไว้ทางด้านซ้าย
การจัดตำแหน่งแบบนี้ทำให้เขาดึงกริชออกมาได้ง่ายขึ้นและมันยังช่วยป้องกันตำแหน่งปลายแขนขวาอีกด้วย ซึ่งเทคนิคพิเศษนี้ ได้ช่วยแขนเขาให้รอดจากโดนทำลายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อย ตอนนี้ก็เกือบจะ 10:00 น. เหลือเวลาอีก 8ชั่วโมงก่อนจะถึงโลกาวินาศ
———
คืนอันมืดมิดได้ผ่านพ้นไปอย่างเงียบสงบ แสงตะวันสาดส่องแต่เช้าตรู่
หน้าจอโทรศัพท์แสดงเวลา : 4 กรกฎาคม 2016 6:00 น.
จากนั้นหน้าจอก็ดับลงทันที ทันใดนั้นเองท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็ฉับพลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและดวงอาทิตย์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนก็ตามบนโลก
———
เสียงร้องครวญครางแสดงออกถึงความสิ้นหวังดังแว่วมาตามทางเดินในหอพัก ตามด้วยเสียงคำรามอันคุ้นเคยของซอมบี้และเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนหนึ่ง…
‘เดี่ยวนะ ทำไมถึงมีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงในหอพักชาย?’ ชูฮันรู้สึกตะลึงเมื่อตื่นขึ้นมาพลางส่ายหน้า บางทีเขาอาจจะรู้สึกตะลึงอย่างเดียวกันนี้เมื่อสิบปีที่แล้ว หากแต่เขาได้ลืมเหตุการณ์พวกนี้ไปหมดแล้วเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำเลย
ขณะที่ลุกขึ้น ชูฮันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หากแต่ไม่สามารถเปิดเครื่องได้
ชูฮันแค่นยิ้มพลางคิดท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงระหว่าง 6ชั่วโมงแห่งความมืดมิด จนกระทั่งห้าปีหลังจากโลกาวินาศ ได้มีศาสตราจาย์ท่านหนึ่งเสนอ ‘ทฤษฎีการล่มสลาย’ ขึ้นมา
กลับไปยังต้นกำเนิด…ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
สนามแม่เหล็กของโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงและข้อมูลที่สอดคล้องกับมันก็เปลี่ยนไปด้วย ความรู้ทางวิชาการก่อนหน้านี้ได้ถูกล้มล้างทิ้งทั้งหมด สิ่งต่างๆมากมายต้องได้รับการสำรวจใหม่ วิทยาศาสตร์ที่มนุษยชาติคุ้นเคยกันดีแตกกระเจิง รวมถึงพันธุกรรมของมนุษย์ด้วย หนึ่งในภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงคือ 80%ของมนุษยชาติได้กลายร่างเป็นซอมบี้
โชคยังดีที่ทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปซะทั้งหมด ยังมีบางสิ่งที่ยังเหลืออยู่ให้มนุษยชาติได้สานต่อ พลังงานยังคงมีอยู่ ไฟยังคงมอบความอบอุ่น น้ำมันยังสามารถเผาไหม้ได้ และยานพาหนะยังสามารถใช้งานได้
เหล่าซอมบี้โจมตีประตูห้องพักของชูฮันไม่หยุด เสียงขูดขีดของวัตถุบางอย่างที่แหลมคมดังขึ้นเป็นช่วง เสียงนั้นเกิดจากเล็บที่แข็งแรงมากของซอมบี้ ชูฮันหยิบขนมปังอบแห้งออกมาและกินมัน โลกาวินาศมาถึงแล้วและสงครามเพื่อความอยู่รอดก็ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เติมพลังงานให้กับร่างกาย
จนถึงตอนนี้ ซอมบี้ที่ปรากฏตัวเป็นแค่ซอมบี้ระดับเกรดต่ำสุด ซอมบี้เกรดหนึ่งที่มีความเร็วต่ำและมีความรู้สึกช้า พลังของพวกมันถือว่ากระจอก หากไม่นับรูปลักษณ์ที่น่าขนลุก พวกมันไม่กี่ตัวถือเป็นภัยคุกคามเล็กๆน้อยๆสำหรับคนที่มีอาวุธพร้อม
มันเป็นสัปดาห์แห่งการสอบ ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จึงไม่อยู่ในเขตของมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตามยังคงมีนักเรียนบางส่วนเหลืออยู่สำหรับการทดสอบ ดังนั้นมหาวิทยาลัยหมิงชิวจึงถือเป็นสถานที่ที่ไม่อันตรายเท่าไหร่หนักเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะพักอยู่ในหอพักก่อนที่โลกาวินาศจะมาถึง
หลังจากกินขนมปังแห้งเสร็จแล้ว ชูฮันก็แอบลอดมองผ่านทางหน้าต่าง แม้ว่าดวงอาทิตย์จะกลับมาปรากฏอีกครั้งแล้ว หากท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทา มีฝูงซอมบี้ที่กำลังแทะกระดูกอยู่ พร้อมกับมีเศษเนื้อและเลือดที่กระจัดกระจายอยู่บนท้องถนน
ความโกลาหลอลหม่านนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ชูฮันสงสัยว่าซอมบี้เหล่านี้อาจจะตื่นขึ้นมาเร็วกว่ามนุษย์
ชูฮันผุดลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมสะพายกระเป๋าเป้ไว้บนหลังพลางกวัดแกว่งขวานไปมาด้วยมือทั้งสองข้าง เขาในตอนนี้ยังไม่มีแรงมากพอ มันจึงยากสำหรับเขาที่จะใช้ขวานด้วยมือเพียงข้างเดียว แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเป็นอาวุธที่เล็กที่สุดในโลกนี้ก็ตาม
ดวงตาที่เงียบสงบของชูฮันเปลี่ยนไปทันทีอย่างฉับพลันที่เขาได้เริ่มแกว่งขวาน และแทนที่ด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความโหดร้ายและป่าเถื่อน ทำให้เขาดูคล้ายราวกับปีศาจ
เขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าพ่อแม่และพี่น้องอีกสามคนของเขาจะมีชีวิตอยู่รอด