Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 371
และในขณะที่ชูฮันเหลือบสายตาไปด้านหลัง บี๋เทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชูฮันก็ได้เห็นภาพและแหกปากขึ้นมาทันที
“อ๊ากกก—-“
ฟิ้ว—-
ฟิ้ว—-
จากนั้นมันก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้นมาสองครั้งพร้อมๆกับเสียงแหกปากของบี๋เทียนที่ตระหนกและหวาดกลัว ปุ่มนูนบนแขนของทั้งสองฝั่งของบี๋เทียนจู่ๆก็แตกออก ตามมาด้วยเส้นสีดำพุ่งกระจายออกมาจากแขนของบี๋เทียน
มันเป็นสิ่งมีชีวิตสีดำลักษณะเรียวยาวคล้ายกับงูแต่ไม่มีส่วนหัว มีเพียงปากพร้อมกับเขี้ยว ลำตัวของมันที่โผล่ออกมาจากแขนของบี๋เทียนก็คือเส้นเลือดในแขนของบี๋เทียนที่กลายพันธุ์เป็นปรสิตบนตัวที่ดูดเลือดจากร่างบี๋เทียนไปหล่อเลี้ยง
“อ๊ากกก!” บี๋เทียนได้แต่แหกปากร้องและหมุนตัววนไปรอบๆด้วยความตระหนก พยายามจะเอาไอ้สิ่งน่ารังเกียจทั้งสองตัวนี้ออกไปจากตัวเขาอย่างสิ้นหวัง
เส้นสีดำทั้งสองเส้นแยกเขี้ยวและสยายตัวไปมาอยู่บนตัวบี๋เทียนที่เอาแต่แหกปากร้องเสียงแหบแห้งต่อหน้าชูฮัน
จางโบฮั่นและชายหนุ่มที่ชื่อว่าเฟิงจื่อจือไม่เคยเห็นภาพอะไรแบบนี้มาก่อนก็ได้แต่กรีดร้องด้วยความตกใจ พวกเขากลัวจนแทบจะวิ่งหนี ส่วนเจิ้งเทียนอี้ที่หดตัวซ่อนด้วยความกลัวตั้งแต่แรกก็มีสีหน้าซีดขาวพร้อมกับเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ทว่าภายในปากของเขายังมีอมยิ้มที่ยังไม่ได้เอาออกไปตั้งแต่แรกยังคาอยู่ในปากเหมือนเดิม
ทันใดนั้นทั้งร้านอาหารก็ตกอยู่ในความวุ่นวายสุดขีด ยกเว้นชูฮันและเจิ้งเทียนอี้ที่หูหนวก ส่วนจางโบฮั่น เฟิงจื่อจือ ก็เอาแต่แหกปากร้องไม่หยุดราวกับถูกวิญญาณไล่ร้ายตามอย่างไรอย่างนั้น รวมถึงบี๋เทียนที่ก็หวาดกลัวกับเส้นสีดำสองเส้นบนร่างตัวเอง เขาเอาแต่เดินถอยหลังหนีอย่างสิ้นหวัง ปากก็เอาแต่ร้องใส่เส้นสีดำ มันมีแต่เสียงคำว่า ‘ถอยออกไป’ และ ‘อย่าเข้ามา’ ให้ได้ยิน
“นี่…นี่คือสายพันธุ์ปีศาจหรอกเหรอ?” หวังไคเองก็รู้สึกกลัวเช่นกัน ทว่าไม่นานน้ำเสียงมันก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ฉันเข้าใจแล้ว นี่คือบทลงโทษ!”
ชูฮันงงงวยกับคำพูดที่ไม่สามารถอธิบายได้ของหวังไค ชูฮันได้แต่มองบี๋เทียนที่หวาดกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองและไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตัวเองได้เลย…ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร?
ลูกผสมเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการอยู่รอดท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยซอมบี้ นอกเหนือจากเรื่องการควบคุมซอมบี้ และในกรณีนี้ในเมืองก็เต็มไปด้วยเลือดมากมาย และอาหารมากมายที่ถูกเหลือทิ้งจากยุคศิวิไลซ์ ถ้าใครอยากจะแข็งแกร่งและสามารถทำใจได้ก็สามารถกินเนื้อมนุษย์ได้
แต่การกินเนื้อลูกผสม?
มันเป็นอะไรที่มีโอกาสน้อยมาก นอกเหนือจากว่าคนคนนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพจิตหรือยากเค้นอย่างมาก ลูกผสมทั้งน่าเกลียดและแข็งแกร่งมาก มันจึงเป็นไปได้ยากที่จะถูกใครกิน?
“ทำไมแกถึงกินเนื้อลูกผสม?” ทันใดนั้นเสียงของชูฮันก็แทรกเสียงแหกปากของบี๋เทียนขึ้นมา
บี๋เทียนที่เต็มไปด้วยความสยองพร้อมก็หยุดเสียงแหกปากของตัวเองลงทันที ร่างของบี๋เทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิมแต่เส้นสีดำบนแขนของเขายังคงเคลื่อนไหวไปมาอยู่
ใช่! ทำไมเขาถึงกินเนื้อลูกผสม และไอ้สัตว์ประหลาดที่โตมาในร่างเขานี้เเกิดจากเพราะเขากินลูกผสมงั้นเหรอ?
ความเสียใจได้แพร่ไปทั่วหัวใจของบี๋เทียน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกโศกเศร้าอย่างมาก ชีวิตของเขาปกติธรรมดามาตลอด เขาต้องการมีชีวิตธรรมดาในโลกาวินาศแต่กลับถูกบังคับให้ก้าวเข้าไปในนรกทีละก้าวๆ และในที่สุดมันก็เปลี่ยนให้เขาเป็นเหมือนกับผีที่มีชีวิต
จางโบฮั่นและเฟิงจื่อจือรีบถอนหายใจ ฟังจากคำพูดชูฮันทำให้ทั้งคู่โล่งใจเมื่อรู้สาเหตุทั้งหมดพลางมองไปที่บี๋เทียนด้วยสายตาสยอง ผู้ชายคนนี้ไม่เพียงแต่จะกินเนื้อคนด้วยกันแต่ยังกินลูกผสมอีก?
อี๋! น่าขยะแขยง!
เฟิงจื่อจืออยากจะอ้วกออกมา เขาไม่ใช่จางโบฮั่น เขาไม่เคยเห็นลูกผสม ที่สำคัญก็คือลูกผสมเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจพอๆกับซอมบี้เลย ไอ้ลูกผสมกลายพันธุ์นี้กินเนื้อลูกผสมไปจริงๆงั้นเหรอ?
“ฉันขี้เกียจเกินกว่าจะถามแล้ว ช่างเถอะ ไม่ว่ามันจะกินเพราะอะไร ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี” จู่ๆชูฮันก็พูดกับตัวเอง ทันใดนั้นร่างของชูฮันก็เคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
พัฟ!
บี๋เทียนที่ยังคงคิดเรื่องของตัวเองอยู่ จู่ๆร่างทั้งร่างของมันก็เต็มไปด้วยเลือดนองและตายไปแบบไม่รู้ตัว ทว่าเส้นสีดำทั้งสองเส้นยังคงไม่หยุดขยับเพียงเพราะร่างหลักที่เป็นตัวเลือดหล่อเลี้ยงพวกมันอย่างบี๋เทียนตายไปแล้ว กลับกันพวกมันกลับหมุนตัวหันกลับไปกัดกินเนื้อของบี๋เทียนอย่างบ้าคลั่ง จนทั้งเนื้อและเลือดแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือทิ้งไว้
“อ๊ากกก—–“
จางโบฮั่นและเฟิงจื่อจือที่เห็นฉากนี้ก็แหกปากร้องขึ้นมาอีกครั้ง
ฟึบ—- ฟึบ—-
มีเสียงบางอย่างตามมาอีกสองเสียง จากนั้นเส้นสีดำทั้งสองเส้นก็โดนสับเป็นกอง ชูฮันนิ่วหน้าขณะมองกองซากของพวกมันบนพื้น เขาหันหน้าไปหาเจ้าของร้านจางโบฮั่น “มีแอลกอฮอล์มั้ย? เผามันซะ”
แม้ว่าชูฮันจะเคยเจอกับสายพันธุ์ปีศาจมามากมายในชาติที่แล้ว แต่ชูฮันก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตนี้อยู่ดี
สายพันธุ์ปีศาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าลูกผสม แต่มีปีศาจแค่ไม่กี่ตัวที่จะยอมรับให้มีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ในร่าง ดังนั้นมันจึงมีปีศาจจริงๆแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ในตอนนี้ที่โลกาวินาศได้ปะทุแล้วในชาตินี้ เขาคาดว่าบี๋เทียนน่าจะเป็นปีศาจตัวแรก
แต่มันแข็งแกร่งแค่ไหนนั้น สำหรับตอนนี้บี๋เทียนยังไม่มีพละกำลังมากพอ
ผั้ว! พ้ะ! พ้ะ!
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนพุ่งเข้ามา มันเป็นกลุ่มวิวัฒนาการที่ไม่ได้จากไป พวกเขาวิ่งมาจากสุดป่าอีกฝากมาจนถึงหมู่บ้าน ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาเห็นแต่ซากศพของซอมบี้มากกว่า 500 ตัว นอนกองตายอยู่เต็มไปหมด เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ เลือดสีดำที่ย้อมพื้นของทั้งหมู่บ้านจนหมด ช่างน่าอัศจรรย์!
และในตอนนี้ที่พวกเขาได้เห็นภาพในร้านอาหารอีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกกลัวจนนิ่งค้าง ร่างของบี๋เทียนที่นอนตายอยู่นั้นเห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากพวกซอมบี้ข้างนอก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามซอมบี้ทั้งหมดในหมู่บ้านที่ถูกกวาดล้างนี้เป็นฝีมือของชูฮันคนเดียว
“สุดยอด ทรงพลังมาก!” วิวัฒนาการระยะ 2 พูดโพล่งขึ้นมาขณะมองไปที่ชูฮันด้วยสายตาเทิดทูน
“แข็งแกร่งมากจริงๆ คนๆเดียวสามารถฆ่าซอมบี้ได้มากขนาดนี้!” คนอื่นเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ฝูงซอมบี้ที่มากพอจะทำลายล้างทั้งหมู่บ้าน กลับสามารถกำจัดได้ง่ายดายขนาดนี้?”
ทุกคนต่างมีสีหน้าหวาดกลัว ขณะที่ชูฮันนั่งอยู่บนเก้าอี้และสั่งให้คนพวกนี้พาร่างบี๋เทียนออกไปด้านนอก
“มาแล้ว” ในตอนนั้นเอง เจ้าของร้านจางโบฮั่นก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับแอลกอฮอล์และกิ่งไม้แห้ง จากนั้นเธอก็เทมันลงบนร่างศพของบี๋เทียนและจุดไฟเผา ไฟไม่ได้ลุกลามใหญ่มากทว่ามันกลับเผาใหม่ร่างของบี๋เทียนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตรงปรสิตที่ชูฮันต้องการจะฆ่ามากที่สุดเพราะมันเป็นจุดที่โดนแอลกอฮอร์ราดลงไปเยอะที่สุด
“พวกเราติดตามนายไปได้มั้ย?” หลังจากจัดการกับร่างของบี๋เทียนเรียบร้อย วิวัฒนาการระยะ 2 ที่เป็นตัวแทนของวิวัฒนาการคนอื่นๆก็เอ่ยปากขอร้องชูฮัน ซึ่งเขาก็คือวิวัฒนาการคนเดิมที่ตอนอยู่ด้านนอกหมู่บ้านได้อธิบายว่าการเคลื่อนไหวของชูฮันรวดเร็วการเกินสายตาของใครจะจับได้ทัน
ชูฮันมองไปที่วิวัฒนาการระยะ 2 คนนั้น ทันใดนั้นคำปฏิเสธที่กำลังจะหลุดออกจากปากเขาก็หยุดชะงักทันทีและหลังจากคิดทบทวนบางอย่างได้ ชูฮันก็ถามขึ้น “นายชื่ออะไร?”
ตาของวิวัฒนาการระยะ 2 คนนั้นเป็นประกายพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันชื่อเสี่ยวเคิน”
ชูฮันหยิบขวดไวน์บนชั้นลงมาและยกมันขึ้นดื่ม เขาไม่สนใจสีหน้าของจางโบฮั่นที่มองมา “โอ้ะ ไม่รู้เลย”