Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 379
ทุกคนต่างตกใจกันหมดกับความน่ากลัวของซางจิ่วตี้ ไม่เพียงแต่มันจะทำให้พลตรีขี้โมโหและหลงหยวนเจียอึ้งแล้ว แต่หยางเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังซางจิ่วตี้เพื่อคอยสนับสนุนเองก็ตกใจแทบล้มเหมือนกัน
หลงหยวนเจียรีบโค้งคำนับซางจิ่วตี้อย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าครั้งนี้เขาอาจจะสามารถต่อรองกับอีกฝ่ายได้ ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายกลับแค่นั่งลงและพูดคุยเหมือนไม่ใช่ปัญหาอะไรที่ต้องใส่ใจ สถานการณ์ในตอนนี้มันเหนือความคาดหมาย ผู้หญิงคนนี้ปฏิเสธทุกอย่างโดยไม่แม้แต่จะแยแส ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชูฮันช่างน่าประหลาดใจมาก!
พลตรีสิงโตขี้หงุดหงิดไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาไม่คิดเลยว่าซางจิ่วตี้จะมีความกล้ามากขนาดนี้่ เธอไม่เพียงแต่โยนตราตำแหน่งทิ้งใส่หน้าเขา แต่ยังบอกอีกด้วยว่าจะยึดเสบียงที่เขานำมาให้ไป แถมยังให้เขากลับไปมือเปล่าอีก?
ใครมอบความกล้าให้เธอได้ขนาดนี้!
หยางเทียนไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามที่เขาพูดกับซางจิ่วตี้ก่อนหน้านี้เลย…ทำให้มันแย่ขึ้นไปอีก!
การสูญเสียตำแหน่งไป จะทำให้ค่ายแห่งนี้ถูกขับไล่ไปตกอยู่ในความรับผิดชอบของทั้ง 3 ภูมิภาคทันทีและจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับค่ายซางจิง ไม่เพียงแต่การพัฒนาการของค่ายจะถูกยับยั้ง แต่แม้แต่ผู้อาศัยทั่วไปก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก
ความคิดของซางจิ่วตี้แจ่มชัด จุดประสงค์แรกเริ่มของเธอที่มาที่นี้คือเพื่อให้ชูฮันสบายใจและสามารถออกไปทำสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำได้ และเธอก็จะคอยดูแลทุกอย่างอยู่ที่นี่ให้
แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง เธอต้องใช้มาตรการที่รุนแรงที่สุด เห็นได้ชัดว่าซางจิงเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเป็นผู้บัญชาการมู๋มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านจะส่งคนเพื่อมาควบคุมค่ายและแม้กระทั่งเอาสนธิสัญญาที่ไม่มีความยุติธรรมนี้มาด้วย มันมากเกินไป ซึ่งมันไม่ใช่สำหรับการพัฒนาของค่ายเมืองอันลู แต่ดูเหมือนกับเครื่องมือที่ใช้บีบบังคับให้ยินยอมมากกว่า
ไม่ว่าสนธิสัญญานี้จะได้รับการลงนามหรือตราบใดที่พลตรีขี้โมโหนี้ยังอยู่ที่นี่ ทางค่ายจะไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ทั้งนั้น
ซางจิ่วตี้รู้ดีว่าการแก้ไขเพียงอย่างเดียวท่ามกลางสถานการณ์นี้ก็คือการโยนตราทิ้งไปและขับไล่พลตรีสิงโตบ้าคลั่งคนนี้!
เขาบอกว่าเธอโดนปลดแล้วไม่ใช่เหรอไง?
ถ้างั้นก็ เชิญ…ตามที่นายปรารถนา
สำหรับของที่พลตรีสิงโตเอามา?
ขอบคุณที่ส่งของขวัญปีใหม่มาให้!
เมื่อมองไปที่ท่าทีแข็งกร้าวของซางจิ่วตี้ อารมณ์ของพลตรีสิงโตก็พุ่งปะทะขึ้นมาจากอก ทันใดนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นและชี้นิ้วไปตรงจมูกของซางจิ่วตี้และตะโกน “ยัยผู้หญิงฉาวโฉ่! คงเหนื่อยมากสินะ ฉันจะบอกอะไรให้นะไม่ว่าวันนี้เธอจะพูดยังไงก็ตาม ยังไงฉันก็ต้องอยู่ควบคุมค่ายนี้!”
แววตาของซางจิ่งตี้เผยร่องรอยเยาะเย้ยออกมา…พร้อมจะฉีกหน้าตัวเองแล้วเหรอไง?
ดี! อะไรๆจะได้ง่ายขึ้น!
“จบหรือยัง?” ซางจิ่วตี้ไม่กลัวที่จะจ้องตากับพลตรีสิงโต ไม่มีร่องรอยของการล่าถอย “โปรดเข้าใจให้ชัดเจนด้วยว่าค่ายนี้เป็นของฉัน ถ้าของของนายเข้ามาในนี้แล้ว มันจะไม่มีทางได้ออกไป ส่วนคน? ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวกลิ้งออกไปเดี๋ยวนี้!”
“อีเวร! พ่อแม่มึงสิ! จะให้กูกลิ้งออกไป!” พลตรีสิงโตบ้าคลั่งมองซางจิ่วตี้ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 ปะทุออกมาทันที เขาต้องการจะให้บทเรียนแก่ผู้หญิงคนนี้
จากนั้น——
“หยางเทียน” เสียงของซางจิ่วตี้ดังขึ้นแผ่วเบา
ฟรึบ!
ทันใดนั้นจู่ๆมันก็มีคลื่นพลังอันยิ่งใหญ่ระเบิดออกมาจากร่างของหยางเทียน เกิดเป็นกระแสลมหมุนรอบร่างของเขา แรงปะทะและแรงกดที่อัดแน่นบีบบังคับพลตรีสิงโตต้องล้มลงไปที่พื้น สายตาของพลตรีสิงโตฉายแววหวาดกลัวออกมา—-
ปัง!
มีกำปั้นกระแทกเข้าที่ใบหน้าของพลตรีสิงโต!
หยางเทียนไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะปล่อยหมัดออกไป เขาอยากจะสั่งสอนไอ้นี่มานานแล้ว มันกล้าดียังไงสบถใส่ซางจิ่วตี้? แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าซางจิ่วตี้คิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ แต่หยางเทียนก็จำได้ว่าตอนที่ชูฮันจากไป ชูฮันสั่งไว้ว่าด้านการต่อสู้ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของเขา ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของซางจิ่วตี้
เนื่องจากหัวหน้าบอกเช่นนั้น มันก็ถือเป็นเรื่องชอบธรรมแล้ว เพราะหยางเทียนถือว่าเขาทำตามที่หัวหน้าบอก
จากการระเบิดอารมณ์จนเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบ ทุกอย่างใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง และเมื่อพลตรีสิงโตที่อยู่ที่พื้นรู้สึกตัวขึ้น ซางจิ่วตี้ก็ลงไปนั่งยองๆที่พื้นและเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกออกมา
หลงหยวนเจียยังไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่แรก ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้ชายที่ชื่อหยางเทียนน่าจะแค่เข้ามายืนดูเฉยๆ แต่ที่ไหนได้เขาถูกรูปลักษณ์ของหยางเทียนหลอกตาเอา ไม่มีใครคิดว่าหยางเทียนจะเป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 5!
และในครั้งนี้พลตรีสิงโตก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองและหันมามองหยางเทียนที่ยืนอยู่ข้างหลังซางจิ่วตี้ด้วยสายตาไม่เชื่อ ค่ายที่ด้อยการพัฒนาจนล้าหลังนี้มีวิวัฒนาการระยะ 5 ซ่อนอยู่?
ผั้วะ!
และในตอนนั้นเอง คนมากมายที่เฝ้ารอสถานการณ์อยู่ด้านนอกห้องก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านใน เหล่าทหารที่พลตรีสิงโตพามาต้องการจะพุ่งตัวเข้ามาทว่ากลับถูกร่างสูงใหญ่ที่จู่ๆก็เข้ามาขวางทางไว้ เจียงฮงหยูซึ่งเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 ส่งยิ้มให้ทุกคนขณะปล่อยพลังผันผวนของเขาออกมากดดันให้เหล่าทหารหยุดการเคลื่อนไหว
เมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น พลตรีสิงโตก็รู้เลยว่าตอนนี้เขาตัวคนเดียวและไร้หนทางขอความช่วยเหลือแล้ว เนื่องจากคนที่เขาพามาได้ถูกปราบเอาไว้หมด แม้แต่ตัวเขายังถูกวิวัฒนาการระยะ 5 ซ้อม แม่ง! ทำไมไม่มีใครบอกเขาว่าค่ายนี้มีวิวัฒนาการที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ถึง 2 คน?
อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ยอมแพ้เพียงเพราะเหตุแค่นี้ กลับกันพลตรีสิงโตเลือกที่ดีดตัวขึ้นและแหกปากใส่หยางเทียน “วิวัฒนาการระยะ 5 แกรู้มั้ยว่านี่เป็นความผิดถึงตายกับการทำร้ายพลตรี? ฉันสามารถสั่งลงโทษแกได้ตอนนี้เลย!”
ฟางสุดท้ายของพลตรีสิงโตหมดลง
“ลงโทษ” ซางจิ่วตี้หัวเราะเยาะเย้ยทันทีกับประโยคที่ได้ยิน มันมีวิวัฒนาการะยะ 5 จากทั้งจีนกี่คนกัน? หยางเทียนก็แค่ไม่ได้เข้าร่วมการประเมิณของเสาหิน แต่ถ้าคนอื่นรู้เรื่องระยะวิวัฒนาการของหยางเทียนเมื่อไหร่ละก็ ตราตำแหน่งจะลอยมาหาหยางเทียนเองด้วยซ้ำ
ส่วนสำหรับการชกพลตรี เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะจัดการแต่สิ่งที่ซางจิ่วตี้ต้องการก็ไม่ได้รับมือได้ง่ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นถึงแม้หยางเทียนจะถูกเปิดเผยว่าเป็นวิวัฒนาการระยะ 5 แต่มันก็ยังมรพวกที่ต้องการมอบยศตำแหน่งให้เขาอยู่ดีถึงแม้อาจจะต้องเจอการพิพากษาอย่างรุนแรงจากผู้คนรอบข้าง
ซางจิ่วตี้ไม่กลัวคำขู่ของสิงโต เธอตอกกลับไปอย่างเย่อหยิ่ง “โยนเขาออกไป”
ผั้วะ!
ทุกคนถูกโยนออกไปด้านนอกที่มีผู้รอดชีวิตมากมายเดินกันตามถนนทางเดิน
คนพวกนี้มาพร้อมกับของมากมายเต็มไม้เต็มมือ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกซ้อมและยึดของทั้งหมดไป กลุ่มของพลตรีสิงโตรีบบินเฮลิคอปเตอร์หนีกลับไปอย่างรวดเร็ว
และในตอนนั้นเอง ติงซือเย้าก็ได้เดินออกมาจากตัวบ้าน เขาวางแผนจะเดินมาดูสถานการณ์ หากกลับได้เห็นภาพใบหน้าบวมเฉ่งของพลตรีสิงโตที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์และบินออกไปอย่างเร่งรีบ ติงซือเย้ายืนค้างดูอยู่ครู่หนึ่งขณะมองไปที่เฮลิคอปเตอร์ลำพิเศษของซางจิง
มันเกิดอะไรขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่นาทีกัน?!
ติงซือเย้าคิดอะไรไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปที่ห้องประชุมทัที ทำไมซางจิ่วตี้ถึงได้บ้าดีเดือดขนาดนี้? ทำไมเธอถึงกล้าลงมือกับคนที่ซางจิงส่งมา? นี่มันไม่ใช่จะยิ่งทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นเหรอ?!
หากเมื่อติงซือเย้ามาถึงห้องประชุม เขาก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นภาพซางจิ่วตี้กำลังเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าอยู่